วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ไม่มีเส้นแบ่งบนฟ้า

เมื่อตอนหัวค่ำผมเดินออกไปกินข้าว แหงนคอมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส และดาวเสาร์เรียงรายกันอยู่เป็นเส้น จังหวะดีฟ้าโปร่งๆ แบบนี้มองดูแล้วก็สวยดี

ความจริงเพียงแต่เราแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เราก็จะพบกับความจริงที่สำคัญประการหนึ่งว่า แท้จริงแล้วบนท้องฟ้าไม่ได้มีเส้นส่วนแบ่งพื้นที่หรือแบ่งขอบเขตอะไรทั้งนั้น ท้องฟ้าก็คือท้องฟ้านี่แหละ เป็นพื้นที่ว่างๆ อันไร้ขอบเขต โดยมีดวงดาวใหญ่น้อยเรียงรายอยู่โดยทั่วไปตามการสังเกตของคนบนโลก 

การที่คนสมัยโบราณเริ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าในตอนกลางคืนแล้วสังเกตรวมถึงจดบันทึกพฤติกรรมดวงดาวต่างๆ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิชาโหราศาสตร์ และแน่นอนว่ารวมไปถึงดาราศาสตร์ด้วย

สำหรับการแบ่งพื้นที่บนท้องฟ้าเช่นจักราราศีรวมไปถึงเรือนชะตา (2 เรื่องนี้ความจริงเป็นเรื่องเดียวกัน) ซึ่งใช้กันอยู่โดยทั่วไปในวิชาโหราศาสตร์นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ถูกสมมุติขึ้นมาภายหลังตามมติเห็นชอบของโหราจารย์สมัยโบราณ 

เราแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วนเรียกว่า 12 ราศีโดยตั้งชื่อตามหมู่ดาวฤกษ์ซึ่งเรียงรายไปตามแนวเส้นสุริยะวิถีก็เพื่อให้ง่ายต่อการขานตำแหน่งของดาวเคราะห์ต่างๆ ซึ่งโคจรไปตามแนวเส้นสุริยะวิถีนี้ ต่อมาจึงค่อยประดิษฐ์ความหมาย รวมถึงเหตุผลของความหมายเหล่านั้น เพิ่มเติมเข้าไปเพื่อประโยชน์ในทางพยากรณ์ (รวมไปถึงความหมายของดาวเคราะห์ต่างๆ ด้วย)

ถ้าเราศึกษาวิชาโหราศาสตร์ลงลึกกันไปอีกสักหน่อย เราก็จะพบว่าวิธีการในการแบ่งท้องฟ้านี้ก็มีหลายวิธีด้วยการ

ที่ชัดเจนที่สุดและถือว่าเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั้งโลกก็คือการแบ่งออกเป็น ระบบนิรายะนะ (ราศีคงที่) กับระบบสายนะ (ราศีเคลื่อนที่) ซึ่งทุกวันนี้  2 ระบบนี้มีความคลาดเคลื่อนกันมากถึงประมาณ 24 องศา

เฉพาะค่าความแตกต่างระหว่าง 2 ระบบซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าค่า อายนางศ นี้ก็มีคนคิดคำนวณเอาไว้เป็นค่าตัวเลขซึ่งแตกต่างกันหลายสิบค่าแล้ว เพราะสูตรในการคำนวณของแต่ละสำนักมีความแตกต่างกัน 

ยิ่งไปถึงเรื่องของการแบ่งเรือนชะตาด้วยแล้วก็ยิ่งมีมากมายหลายสิบวิธีการ โดยแต่ละวิธีต่างก็มีหลักเกณฑ์ของตนเองซึ่งแตกต่างกัน เช่นใช้จุดเริ่มต้นในการตัดแบ่งที่ไม่เหมือนกัน หรือใช้อัตราส่วนในการแบ่งพื้นที่ที่แตกต่างกัน จึงหาข้อสรุปหรือความเป็นมาตรฐานที่แน่ชัดไม่ได้ (อย่างมากก็คือมีบางวิธีการที่ได้รับความนิยมมากกว่าวิธีการอื่น)

แน่นอนว่าทุกวิธีการที่มีความแตกต่างกันเหล่านี้ บรรดาต้นสังกัดทุกสำนักต่างก็ยืนยันมั่นคงว่าวิธีการของตัวเองนั้นเป็นวิธีการที่ดีและได้ผล

ด้วยความตะขิดตะขวงใจทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เอง ทำให้วิชาโหราศาสตร์หัวก้าวหน้าในยุคหลังๆ มาเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องของราศีและเรือนชะตาน้อยลง บางสำนักก็ถึงขั้นเลิกใช้กันไปเลย หรือถ้าจะใช้ (ตามความเคยชิน) ก็ใช้เป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมมากกว่าจะเป็นวิธีการหลัก เช่นสำนักยูเรเนี่ยน หรือสำนักคอสโมไบโอโลยี่ เป็นต้น

โดยจะให้ความสำคัญกับดาวเคราะห์และการทำมุมถึงกันของบรรดาดาวเคราะห์ เพราะถือหลักการสำคัญว่าว่าโชคชะตานั้นย่อมถูกขับเคลื่อนไปภายใต้อิทธิพล หรืออย่างน้อยก็สอดคล้องกับตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ 

โดยเฉพาะสำนักยูเรเนียนนั้นถึงกับมีการคิดค้นดาวเคราะห์สมมุติขึ้นมาใช้ในการพยากรณ์เพื่อให้จำนวนของดวงดาวเพียงพอต่อการนำมาสร้างความหมายเทียบเคียงจากเหตุการณ์ในชีวิตของมนุษย์ ก็เรียกว่าสมมุติเหล่านี้ว่าดาวทรานเนปจูนทั้ง 8 ซึ่งโหราจารย์ในบ้านเรามักเรียกว่าดาวทิพย์ 

ในยุคเริ่มต้นของยูเรเนียนนั้น เขาเชื่อกันจริงจังว่าดาวทรานเนปจูนทั้ง 8 เป็นดาวที่มีอยู่จริงเพียงแต่ยังส่องกล้องหากันไม่พบ แต่อยู่ไปนานๆ พอวิชาดาราศาสตร์มันมีความเจริญก้าวหน้าไปถึงระดับหนึ่ง บรรดานักโหราศาสตร์ยูเรเนียนจึงค่อยยอมรับกันว่าดาวทรานเนปจูนทั้ง 8 เป็นดาวที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ดาวที่มีอยู่จริงเลย

เรื่องนี้มันก็ทำนองเดียวกับจุดราหูหรือลัคนาซึ่งเป็นจุดสมมุติจากการคำนวณเช่นกัน แต่ก็ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่สมัยโบราณจากสำนักโหราศาสตร์ทั่วโลกว่าว่าสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ได้เป็นอย่างดี 

ความแม่นยำ

ถ้าใครพอมีความรู้เรื่องการดูกราฟเทรดหุ้นบ้าง เทรดคริปโตบ้างอะไรบ้างก็น่าจะพอนึกภาพตามออก

สมมุติดวงชะตาคนเป็นกราฟราคาในตลาดนะ เราก็จะพบว่าเดี๋ยวมันขึ้นเดี๋ยวมันลง แดงๆเขียวๆ ภาษาเซียนเขาบอกเดี๋ยวหมี(ตก)เดี๋ยวกระทิง(ขึ้น)

ไอ้ความขึ้นๆ ลงๆ ไม่มั่งคงของราคานี่ เหมือนความรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงในชีวิตของคน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวสุขเดียวทุกข์ มันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตบ้าง มันก็เลยเป็นธรรมดาที่คนเราย่อมที่จะอยากรู้ล่วงหน้าว่าต่อไปภายภาคหน้าชีวิตฉันจะเป็นอย่างไร? จะขึ้นหรือลงจะสุขหรือทุกข์?

ใครรู้ตรงนี้ได้ คาดการณ์ตรงนี้ถูกก็จะได้ประโยชน์ ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

คนในวงการเทรดเลยมักพูดกันว่า "รู้อะไรไม่สู้รู้งี้" 😑

ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครรู้หรอก บ่นไปอย่างนั้นแหละ

แต่ก็อยากรู้แหละ ห้ามกันไม่ได้

สุดท้ายก็เลยมีคนพยามหาอะไรต่างๆ มาพยายามคาดการณ์ทิศทางของอนาคต มันก็เลยเกิดเป็นวิชาอ่านแท่งกร๊าฟบ้าง ตีเส้นเทรนไลน์วัดฟีโบ รวมไปถึงสารพัดอินดิเคเตอร์ต่างๆ ทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวกัน 

นั่นก็คือการคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต "อย่างแม่นยำ"

(ในโลกของความเป็นจริง เราจะพบว่าการคาดการณ์ถึงอนาคตนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการหรือเทคนิคใดๆ ต่างก็ต้องใช้ข้อมูลย้อนหลังเป็นต้นทุนในการหาคำตอบทั้งสิ้น สำหรับโหราศาสตร์ก็ไม่หนีกัน)

แต่ไม่ว่าความรู้หรือเทคโนโลยีมากมายมหาศาลจะถูกถมลงไปมากขนาดไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อเถอะว่าสิ่งที่นักเทรดทั้งหลายยังคงต้องเจอมันหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือการ "ทายวืด" 😑

คือสัญญาณอะไรต่อมิอะไรล้วนชี้วัดว่าราคามันจะต้องไปทางหนึ่ง แต่พอถึงเวลาจริงๆ เสือกพุ่งไปอีกทางหน้าตาเฉย

เรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องปรกติ (เพราะถ้าจะมีอะไรซักอย่างที่ทายแม่นขนาดนั้นเราคงรวยกันทั้งโลกแล้ว)

ในวิชาโหราศาสตร์ความจริงก็ไม่ต่างกัน บางครั้งเมื่อหลักเกณฑ์หรือข้อชี้วัดต่างๆ เช่นตำแหน่งดาว โครงสร้างพระเคราะห์สนธิ หรือโยคเกณฑ์ต่างๆ มันชี้คำพยากรณ์ไปในทางหนึ่งอย่างชัดเจน แต่พอมันเอาเข้าจริงๆ ดันกลายเป็นอย่างไปซะได้

เอาจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด นักพยากรณ์ทุกคนถ้าไม่หลอกตัวเองก็ต้องเจอกันบ้างเป็นเรื่องปรกติ จะบ่อยมากน้อยขนาดไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

การพยามอัพเดทวิชาโหราศาสตร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งจำเป็น แทบจะเป็นงานประจำของนักโหราศาสตร์ทุกคนเลยก็ว่าได้

บางคนหาคำตอบจากคัมภีร์โบราณ บางคนก็พยามสร้างวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมา ก็ว่ากันไปไม่มีผิดถูก เพราะสุดท้ายแล้ว "ความแม่น" (ที่สุดเท่าที่จะทำได้) คือเป้าหมายสำคัญที่สุดที่นักพยากรณ์ทุกต้องการ

ส่วนแม่นแล้วจะยังไงกันต่อ จะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้บ้าง นั่นอีกเรื่องหนึ่ง คนล่ะประเด็นกัน

ขั้นตอนการพยากรณ์

ในหนังสือ “โหราศาสตร์ไทยระบบรังสีดาว” ของอาจารย์จรัญ เขียนสรุปหลักพยากรณ์ที่น่าสนใจเอาไว้ประการหนึ่งก็คือ

การพยากรณ์ในเชิงปรากฏการณ์ หรือเหตุการณ์ต่างๆ แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เอาเข้าจริงก็มักทายพลาดกันได้ง่ายๆ และก็พลาดกันมานักต่อนักแล้ว

เช่นเห็นเสาร์จรมาถึงจันทร์กำเนิด (SAt = MOr) ก็ทายว่าแม่จะตายเมียจะป่วยบ้าง ซึ่งก็หน้าแหกกันมานักต่อนักแล้ว

ดังนั้นการพยากรณ์ใดๆ ก็ตาม จึงควรเริ่มต้นจากคำพยากรณ์ในเชิงจิตใจ อารมณ์ หรือความรู้สึก กันเสียก่อน 

เช่นเสาร์จรมาถึงจันทร์กำเนิดก็ทายไปก่อนว่าจิตใจกำลังหม่นหมอง มีอารมณ์กลัดกลุ้ม อึดอัดใจ อะไรทำนองอย่างนั้น

หากคำพยากรณ์ในเชิงสภาวะจิตใจนี้ถูกต้องหรือใช้งานได้ เราก็ค่อยสืบค้นกันต่อไปอีกว่าจิตใจ อารมณ์ หรือความรู้สึกเหล่านั้น เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ใด

เช่นที่ว่า หม่นหมองกลัดกลุ้มนั้น ก็อาจจะเนื่องด้วยแม่จะตายเมียจะป่วย อะไรทำนองอย่างนี้

การออกคำพยากรณ์ในลักษณะนี้เป็นที่นิยมกันในหมู่นักพยากรณ์รุ่นใหม่ ซึ่งพยายามหลีเลี่ยงการด่วนสรุปในเชิงเหตุการณ์ โดยมองว่าสภาวะของจิตใจ อารมณ์ หรือความนึกคิดต่างๆ ล้วนเป็นพื้นฐานหรือเป็นจุดเชื่อมโยงไปยังปรากฏการณ์ต่างๆ อีกที 

ซึ่งการทายกันอย่างเป็นชั้นๆ เป็นขั้นๆ ไปอย่างนี้ โอกาสทายได้ถูกเรื่องถูกราวจะมีมากกว่า ไม่ต้องอาศัยโชคตัวเองในการทายโชคชาวบ้านอีกที

อุปมาเหมือนดั่งศิลปินก่อนจะแต่งเติมรายละเอียดให้กับรูปภาพ ก็ควรที่จะผ่านขั้นตอนในการร่างแบบคร่าวๆ ขึ้นมาเสียก่อน 

ดาวศูนยพาหะ

ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผู้ที่บัญญัติคำว่า “ดาวศูนยพาหะ” คือโหราจารย์ท่านใด แต่ถ้าเราแปลตามศัพท์แล้ว คำว่า “ศูนย” แปลว่าจุดกึ่งกลางหรือจุดศูนย์กลางของวงกลม และคำว่า “พาหะ” แปลว่านำทาง ซึ่งจะต้องมีผู้นำทาง ถ้าเราเอาคำทั้งสองนี้มารวมกันก็น่าจะแปลว่า “ผู้นำทางไปสู่จุดศูนย์กลาง หรือเป็นรูปวงกลม”

ดาวศูนยพาหะ รู้จักกันมานานในวงการโหราศาสตร์ไทยทุกระบบ มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมในความหมายที่ว่า “เป็นดาวที่เดินนำหน้าลัคนา” หรือก็คือ “ดาวลอยในภพกดุมภะ” นั่นเอง

ดาวที่อยู่ในภพกดุมภะ หรือนำหน้าลัคนา ไม่ว่าจะมีกี่ดวงก็ตามเราจะเรียกดาวเหล่านั้นว่า “ดาวศูนยพาหะ” ซึ่งโหราจารย์ท่านให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อดวงชะตาสูง เทียบเท่ากับดาวกุมลัคนาเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวฆาต หรือเป็นดาวมรณะในตัวของมันเอง เมื่อนำหน้าลัคนา ก็จะส่งผลให้เจ้าชะตาประสบอุบัติเหตุร้ายแรง อาจเกิดการผ่าตัดใหญ่ สูญเสียเลือดเนื้อ กระดูกหัก ฟันหัก เกิดการพลัดพรากสูญเสีย ฯลฯ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่งได้ เช่นเดียวกับดาวอังคารกุมลัคนา

นี่เป็นความหมายที่โหรไทยเราทราบกันดี และทราบกันเพียงเท่านี้ แต่จะมีโหนสักกี่คนที่นำเอาหลักการดาวศูนยพาหะนี้ไปใช้ในการพยากรณ์ให้กว้างขวางกว่านี้

เช่นถ้าดาวอังคารนำหน้าดาวเจ้าเรือนลัคน์ หรือนำหน้าดาวอื่นๆล่ะ จะส่งผลร้ายแรงในเรื่องอุบัติเหตุ การพลัดพราก สูญเสีย เปลี่ยนแปลงสถานะ ฯลฯ แก่ดาวดวงนั้นเช่นเดียวกับลัคนาหรือไม่?

เรื่องนี้ใครไม่ลอง ไม่เฝ้าสังเกต จดจำ ทำบันทึก ก็อาจจะไม่รู้ แต่ถ้าใครลองทำดู พิจารณาดู ก็จะรู้ว่า ดาวอังคารที่นำหน้าดาวใดก็ตามมักจะให้โทษแก่ดาวนั้นในเรื่องนั้น และความหมายของดาวอังคารเสมอ

ยิ่งนำหน้าดาวอาทิตย์คู่ศัตรู และคู่อุบัติเหตุ ก็ยิ่งให้โทษหนักไม่น้อยไปกว่าดาวทั้งสองกุมกัน

ไม่ใช่เฉพาะดาวอังคารที่นำหน้าลัคนา หรือดาวอื่นเท่านั้น แต่ดาวทุกดวงที่เดินนำหน้าลัคนา หรือดาวใดก็ตาม ล้วนมีอิทธิพลต่อดาวที่อยู่ตามหลังด้วยเหมือนกัน เปรียบเสมือนผู้นำทางอยู่ข้างหน้า ย่อมมีอิทธิพลต่อผู้เดินตามอยู่ข้างหลังทุกฝีก้าว ถ้าคนนำหน้าตกเหว ก็คงจะนำให้คนตามหลังตกหิวไปด้วย หรือหัวรถจักรนำขบวนตกราง หรือหยุดวิ่ง ไปต่อไม่ได้ ก็จะพลอยให้ตู้โบกี้ทั้งหลายที่พ่วงตามมาตกราง หรือหยุด วิ่งต่อไปไม่ได้เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น

:)

เรียบเรียงจากหนังสือ - โหราศาสตร์ระบบพลูหลวง เล่ม 3

เขียนโดย - อาจารย์ เล็ก พลูโต

:)

หมายเหตุจากผู้เรียบเรียง - ก็คือการพยากรณ์ด้วยกฎเกณฑ์ “ดาวไปสู่” นั่นเอง 


:)




วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

พายุไต้ฝุ่นเกย์

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนของปี 2532  มีปรากฏการณ์ซึ่งเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยนั่นก็คือพายุไต้ฝุ่นเกย์ จากรายงานซึ่งสามารถค้นได้โดยทั่วไปปรากฏว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตายประมาณ 833 คนที่สูญหายอีกประมาณ 134 ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับในตอนนั้น

เราลองตั้งดวงชะตาขึ้นมาในลักษณะของกาลชะตา เพื่อให้ง่ายๆในตัวอย่างนี้จึงใช้เวลาสมมุติคือ 12.00 โดยภาพที่เห็นนี้คือดวงชะตาบนจาน 90 องศาซึ่งนิยมใช้กันโดยทั่วไปในหมู่นักโหราศาสตร์ยูเรเนียน

ในดวงนี้เราจะเห็นจุดเด่นคือ JU NE SA เกาะกลุ่มกันอยู่ ตัดออกมาไม่ไกลจะเห็น MO สถิติ ผมหาข้อมูลไม่เจอว่าพายุไต้ฝุ่นมันเริ่มแผลงฤทธิ์ตอนไหนแต่เข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ MO น่าจะทำมุมถึงดาวกลุ่มนี้

เรื่องบนโลกมนุษย์โดยทั่วๆ ไปสำนักยูเรเนียนใช้ AR (จุดเมษ) เป็นตัวแทน ในดวงนี้จะเห็นว่ามีดาว PLทำมุมจับจุดเมษ (อาจจะ  45° หรือ 135° ก็ได้) สนิทองศา เรื่องกันเพียงแค่  1ลิปดา 

PL นั้นยูเรเนียนมากมองเป็นกลางๆ แต่โหราศาสตร์สำนักอื่นมักมองในทางร้าย โดย PL นั้นหมายถึงการมีพัฒนาการ มีความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง การทุบทิ้งแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ การตายแล้วเกิดใหม่ เมื่อ PL มาทำมุมจับแกน AR ย่อมบอกถึงช่วงเวลาซึ่งโลกจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบางสิ่งตามคุณสมบัติของ PL

แต่แน่นอนว่า PL เป็นดาวเดินช้า ย่อมจอดแช่อยู่ในตำแหน่งเดียวเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเพียงการบอกถึงยุคสมัย หรือช่วงเวลาหนึ่ง จะหาสาระลงรายละเอียดคงเป็นไปไม่ได้

การอ่านดวงกาลชะตาด้วยพระเคราะห์สนธิ เราใช้ SU เป็นตัวแทน “วันนั้น”

ในดวงชะตานี้ถ้าเราตั้งแกนคำถามไปที่ SU เราจะพบว่าในวันนั้น SU กำลังทำมุมถึง ZE โดยมีค่าวังกะเพียง 12 ลิปดา

โดยทั่วไปเราแปล ZE ว่าเป็นการสร้างสรรค์ เป็นการลงมือทำตามแผนการซึ่งได้วางและกำหนดเอาไว้ นอกจากนี้ ZE ยังหมายถึงเครื่องจักรได้ด้วย สำหรับความหมายอีกอย่างหนึ่งของ ZE ก็คือ “กองไฟ” ความร้อนแรงอันใหญ่หลวง หรืออาจหมายถึงการระเบิดอย่างรุนแรงก็ได้ 

ความจริงเราอาจจะมอง ZE ไปในแง่ของภัยพิบัติหรือความเสียหายบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก็น่าจะพอไปได้ เพราะยูเรเนียนนั้นเกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1  ภัยพิบัติที่คนสมัยนั้นจะต้องพบเจอการเป็นประจำก็คือการทิ้งระเบิดลงมาจากเรือเหาะ (สมัยนั้นเขายังทิ้งระเบิดกันด้วยเรือเหาะ) การระเบิดอย่างรุนแรง หรือกองไฟอันมหึมา จึงกลายเป็นตัวแทนของ ZE 

แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่ามันนอกตำรา เป็นเรื่องที่คิดวิเคราะห์กันไปเรื่อย อาจจะใช่หรือไม่ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้าจะเอาให้รู้แน่ก็จำเป็นที่จะต้องเก็บเป็นสถิติและค้นคว้ากันต่อไป

กลับมาที่เก่า SU ความจริงจะเห็นว่าตรงขา 30 องศาของจานหมุนมันก็เฉียดกลุ่มดาว JU = SA = NE อยู่ประมาณ 1-2 องศา คาดว่าเรื่องของพายุไต้ฝุ่นนี้คงตั้งเค้าว่าจะสำแดงฤทธิ์เดชจันทร์จริงจังตั้งแต่เมื่อ SU ทำมุมกับกลุ่มดาวนี้

NE นอกจากหมายถึงน้ำหรือของเหลวแล้วยังหมายถึงแก๊สหรืออากาศ ส่วน JU คือการขยายตัว ความมีมากมายมหาศาล เราเอา JU กับ NE มาผสมกันจะแปลว่าพายุก็ได้ พ่อเติม SA เข้าไปก็กลายเป็นความสูญเสียหรือความพลัดพรากซึ่งเกิดจากพายุ

การแปลเป็นตุเป็นตะแบบนี้จะเห็นว่าทำได้ง่ายเพราะเรารู้ก่อนอยู่แล้วว่านี่กำลังดูเรื่องอะไร ถ้าไม่รู้กันก่อนการแปรก็จะยากขึ้นอีกหลายเท่า นี่เป็นเรื่องธรรมดา เรา Sync ข้อมูลถอยหลังไปจับกับชุดข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้วมันย่อมง่ายกว่าการไป Sync ข้อมูลในอนาคตซึ่งมันยังว่างเปล่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่แกน SU นี้เราจะเห็นศูนย์รังสีหลายคู่ที่บอกเล่าเรื่องราวไปในทางร้ายมากกว่าดี (ตัดศูนย์รังสีบางคู่ที่ประกอบไปด้วย MC และ AS ออกไปก่อนเพราะมันละเอียดอ่อนเรื่องของเวลามากเกินไป) 

ศูนย์รังสีที่น่าสนใจก็เช่น 

  • MO/HA ความยากจนของประชาชน ชั่วโมงแห่งความน่าหวาดกลัว ชั่วโมงแห่งชะตากรรม
  • NO/MA เกี่ยวข้องกับความรุนแรง
  • UR/KR อำนาจซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลัน
  • HA/AP ความยากจนอย่างกว้างขวาง ความทุกข์ยากในหมู่ประชาชน การล่มสลายของธุรกิจ
  • HA/VU พลังอำนาจของปีศาจร้าย ความโหดร้ายหรือเสื่อมทรามอย่างมหาศาล

ก็ล้วนสอดคล้องกันไปได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทั้งสิ้น 


:)


วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ราศี (Zodiac) และเรือนชะตา (Houses)


 ราศี (Zodiac) และเรือนชะตา (Houses) ความจริงเกือบเป็นเรื่องเดียวกัน


ราศีใช้จุดเริ่มต้นเป็นตำแหน่งบนท้องฟ้าแบบตายตัว (นิรายนะไม่ขยับเลย ส่วนสายนะขยับปีล่ะนิดด้วยอัตตาค่อนข้างคงที่) ส่วนเรือนชะตาใช้จุดลัคนาซึ่งอ้างอิงจากเวลาเกิดของแต่ละคนเป็นจุดเริ่มต้นในการตัดแบ่ง


ราศีจึงเป็นเรื่องมหาภาค ส่วนเรือนชะตาเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล


ราศีแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วนด้วยพื้นที่ขนาด 30 องศาเท่ากัน ส่วน 12 เรือนชะตานั้นมีทั้งการตัดแบ่งด้วยค่า 30 องศาเท่ากัน และตัดแบ่งเป็น 12 ส่วนที่มีพื้นที่ไม่เท่ากัน ตรงนี้แล้วสำนักโหราศาสตร์ว่าจะเลือกใช้การตัดแบ่งแบบไหน


ราศีถูกกำหนดความหมายโดยการผสมผ่านของ เพศ คุณะ และธาตุ เกิดเป็นความหมายที่ค่อนไปทางนามธรรม ราศีทั้ง 12 จึงมักถูกตีความไปในเชิงบุคลิกภาพ


ในขณะที่เรือนชะตาทั้ง 12 มีความหมายค่อนไปทางรูปธรรม เป็นแง่มุมทั้ง 12 ด้านของชีวิต เรือนชะตาจึงมักตีความหมายไปในเชิงเหตุการณ์


ความจริงความหมายของเรือนชะตาและราศีนั้นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เช่นราศีที่ 1 (เมษ) ก็มีความหมายสอดคล้องกับเรือนชะตาที่ 1 (ตนู) ส่วนราศีที่ 2 (พฤษภ) ก็มีความหมายสอดคล้องกับเรือนชะตาที่ 2 (กดุมพะ) เช่นนี้เป็นต้น 


แต่ก็ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าราศีคือนามธรรม ส่วนเรือนชะตาเป็นรูปธรรม


โหราศาสตร์โดยทั่วไป ใช้ทั้งราศีและเรือนชะตาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพยากรณ์ดวงชะตาผู้คน (ร่วมกับดาว จุดปัจจัยสมมุติ การทำมุมสัมพันธ์ และอื่นๆ)


แต่ยูเรเนี่ยนนั้นต่างออกไป เพราะปฏิเสธเรื่องของการใช้ราศีในการพยากรณ์ ส่วนเรือนชะตาก็ใช้เป็นเพียงส่วนเสริม โดยใช้ทฤษฏีพระเคราะห์สนธิ (ดาวเข้ารูป) เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคำพยากรณ์


:)


วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ราหูเหนือใต้

ราหู (Node) เป็นจุดสมมุติบนท้องฟ้า หมายถึงจุดซึ่งเกิดการตัดกันระหว่างเส้นวงโคจรของโลก (รอบดวงอาทิตย์) และดวงจันทร์ (รอบโลก)

เนื่องจากเป็นจุดตัดกันระหว่างเส้นวงโคจ จึงเกิดเป็นจุดตัดขึ้นสองจุดซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันเสมอ เรียกว่า “ราหูเหนือ” (North Node) และ “ราหูใต้” (South Node)

เฉพาะราหูใต้หรือ South Node นี้คนไทยเรามักเรียกว่า “เกตุ” แต่เพื่อไม่ให้ไปสับสนกับดาวเกตุไทยซึ่งเกิดจากคำนวณของโหราจารย์ไทยสมัยโบราณ (ซึ่งว่ากันว่าจริงๆแล้วคือดาวหาง) ก็เลยมักเรียกขยายไปอีกว่าเป็น “เกตุสากล” เพื่อไม่ให้ซ้ำกับ “เกตุไทย” (เกตุไทยโคจรเร็วกว่าและมีตำแหน่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับราหู)

ส่วนราหูเหนือเราก็เรียกง่ายๆ ว่า “ราหู”

ราหู (ราหูเหนือ) เป็นปัจจัยทางโหราศาสตร์ซึ่งแสดงถึงความปรารถนาของจิตใจ เพราะฉะนั้นมันจึงมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสภาวะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า การมุ่งไปสู่ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงพัฒนา และ “อนาคต”

เนื่องจากราหูเป็น “แรงปรารถนา” เป็นแรงผลักดันที่แสนเย้ายวนที่มนุษย์ต้องเผชิญและยากต่อการปฏิเสธ ทำนองเดียวกับแมลงที่ปฏิเสธการมุ่งเข้าไปหากองไฟที่ลุกโชนได้ยาก ดังนั้นราหูจึงอาจเป็นสัญลักษณ์ของจุดอ่อนของแต่ละบุคคลก็ได้ด้วยเช่นกัน

นักโหราศาสตร์สมัยก่อนจึให้ความสำคัญกับราหูเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นดาวชี้อนาคตของคนเรากันเลยทีเดียว

สำหรับเกตุ (ราหูใต้) จะเป็นแสดงถึงแรงผลักดันซึ่งหนุนอยู่เบื้องหลัง (เป็นภาวะที่ตรงข้ามกับราหู) เกตุเป็นตัวแทนของพื้นฐาน ทรัพยากรที่มี เป็นคุณสมบัติพื้นฐานทางจิตใจที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มันเชื่อมโยงโดยตรงกับความทรงจำ จิตใต้สำนึก และประสบการณ์ทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นเกตุจึงมีความเกี่ยวข้องกับ “อดีต” โดยตรง เป็นแรงผลักดันอันสืบเนื่องจากอดีต บางครั้งก็จะตีความความว่าเป็น “อดีตชาติ” หรือเป็นภาระกิจบางอย่างที่ค้างคาจากอดีตชาติและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสะสางในชาตินี้

โดยรวมแล้วเราอาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นได้รับพื้นฐานอันเป็นนามธรรมมาจากเกตุ เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปสู่ราหูซึ่งเป็นแรงปรารถนาที่เป็นรูปธรรม

สำหรับสำนักยูเรเนี่ยน ราหูกับเกตุมักถูกมองรวมกันอย่างรวบยอด(โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้ดวงชะตาแบบทดรอบองศา) โดยราหูจะเป็นเรื่องของพันธะ ความสัมพันธ์ ความผูกพันห่วงหาอาธรซึ่งเจ้าชะตามีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว

ส่วนโหราจารย์ไทยหรืออินเดียมักมองราหูและเกตุไปในเรื่องของความลุ่มหลงมัวเมาต่ออะไรบางสิ่ง ราหูนั้นท่านว่าหลงรูป ในขณะเกตุนั้นท่านว่าหลงนาม

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นักลงทุนรายใหญ่

ก่อนนอนดูซักดวง ขอตั้งเป็นราศีจักรก็แล้วกันเพราะดูง่ายประหยัดพลังงานสมอง

ดวงนี้บอกตรงๆดวงใครก็ไม่รู้ มิตรสหายส่งมาให้ดู รู้แต่ว่าเป็นดวงนักลงทุนรายใหญ่ระดับร้อยล้านอัพ มีชีวิตโลดแล่นขึ้นๆลงๆอยู่ในยุทธจักรนักลงทุน ซึ่งผมเข้าใจเอาเองว่าน่าจะจัดมาแล้วครบทั้งหุ้น ฟอร์เร็ก และคริปโต

เรื่องการลงทุนต่างๆ คนโบราณมองว่ามันคือความเสี่ยง เป็นความลุ้นระทึกไม่ต่างจากเข้าเข้าบ่อนหรือเล่นกีฬา (หรือกระทั่ง sex) โดยคุณสมบัติพวกนี้จะถูกนำไปกองรวมกันไว้ที่เรือน 5 ปุตตะ

ดวงนี้จะเห็นเรือน 5 ไม่มีดาวสถิต ก็ต้องดูต่อไปว่าเจ้าบ้านเรือน 5 นี้คือใครและหายไปไหน

เรือน 5 ในดวงชะตานี้คือราศีมีน เกษตรหรือเจ้าบ้านก็คือดาวเนปจูน ก็ไปอยู่เสียที่เรือน 2 ซึ่งเป็นเรือนการทำมาหากิน เราเอาความหมายของเรือน 5+2 คือ ลุงทุน+รายรับ ตรงนี้ก็ดูเหมาะสมดีกับชีวิตเจ้าชะตาดีไม่น้อย

เนปจูนเจ้าเรือน 5 นี้มาอยู่ร่วมกับพฤหัสซึ่งไทยมองว่าดาวปัญญาส่วนสากลมองว่าเป็นดาวทรัพย์ ดาวแห่งความเจริญรุ่งเรือง อีกดวงหนึ่งคืออังคาร ดาวแห่งการต่อสู้ดิ้นรน ไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ

เฉพาะพฤหัสนี้เป็นเกษตร คือเป็นเจ้าบ้าน จึงเป็นพฤหัสแข็งแรงมั่นคง ส่วนอังคารเป็นเจ้าบ้านเรือน 1 โหรไทยเรียกตนุลัคน์เป็นตัวแทนบุคลิภาพของเจ้าชะตา มาอยู่เรือนที่เรือน 2 อย่างนี้ทำให้เจ้าชะตารักการทำมาหากิน แต่ด้านเสียก็คือถ้าควบคุมไม่ดีก็จะกลายเป็นโลภโมโทสัน วัตถุนิยมจนหยาบกระด้าง

ดวงนี้เราจะเห็นราหูและเกตุรวมพลังกันเล็งลัคน์อยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ตรงนี้ทำให้เรือน 7 พังแบบไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเกตุนั้นค่อนข้างสนิทองศากับลัคนาเคลื่อนกันเพียงไม่กี่สิบลิปดา ตรงนี้ทำให้เจ้าชะตาเป็นคนกล้าลองกล้าเสี่ยง ชอบทำอะไรแปลกๆที่ชาวบ้านชาวช่องไม่คิดทำกัน

ทั้งราหูและเกตุเป็นเจ้าเรือน 8 มรณะ มารวมพลังกันที่เรือน 7 แบบนี้ทำให้เรือน 7 พังแล้วพังอีกแน่ๆ โดยเจ้าแบคคัสเจ้าเรือน 7 นั้นไปอยู่เสียที่เรือน 9 ศุภะ ดวงนี้ถ้าได้เป็นคนต่างชาติจะไม่แปลกใจเลย

ปิดท้ายดวงนี้ด้วยเรือน 10 ก็แล้วกัน ปรากฏว่าเรือน 10 ก็ว่างอีก ก็ดูต่อไปว่าเจ้าเรือน 10 นี้เป็นใครไปอยู่เสียที่ไหน

ในดวงชะตานี้อาทิตย์เป็นเจ้าเกษตรเรือน 10 เรือนแห่งเกียรติหรือหน้าที่การงาน จะเห็นว่าอาทิตย์นี้ไปอยู่ที่เรือน 12 ลักษณะแบบนี้เจอได้บ่อยๆ กับพวกผู้บัญชาการอยู่หลังฉากเงียบๆ ไม่ออกสื่อ ไม่ออกเป็นเป้าสังคม (เพราะเมื่อไหร่ก็พังเมื่อนั้นตามพลังของเรือน 12 วินาศน์คือสูญเปล่า)

โดยอาทิตย์นี้อยู่เรือน 12  ร่วมกับเสาร์เจ้าเรือน 3 พี่น้องมิตรสหสาย และพลูโตเจ้าเรือน 6 บริวารและลูกสมุนทั้งหลาย

เฉพาะเสาร์นี้เป็นอุจ โดดเด่นเรืองรองแม้อยู่ในมืดก็เปล่งแสง ตรงนีคงมีส่วนช่วยเจ้าชะตาอยู่มากโขทีเดียว

:)

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

ดวงชะตานักเรียนท่านหนึ่ง

ดวงชะตานักเรียน(ยูเรเนี่ยน)ท่านหนึ่ง ชีวิตเกี่ยวข้องอยู่กับศาสตร์ลึกลับอยู่เป็นอันมาก จะเห็นว่าเรือน 1 นั้นมีดาวอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เรือนชะตานี้เด่นกว่าเรือนอื่น

เรื่องศาสตร์ลึกลับนั้นตำราไทยท่านมักเพ่งเล็งไปที่ดาวเกตุ(ไทย) 

ข้อน่าสังเกตุสำหรับดวงนี้คือ ดาวเกตุทำมุมตรีโกณถึงลัคนาพอดี อีกทั้งยังสนิทองศากันกันอีกด้วย (เหลื่อมกัน 16 ลิปดา)

#หลงรูปธรรมท่านให้ดูราหู

#หลงนามธรรมท่านให้ดูเกตุ

ไฮน์ริช ฮิมเลอร์

ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ เป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของพรรคนาซี 

เขาเป็นผู้ควบคุมกองกำลัง SS ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเหี้ยมโหด และที่สำคัญก็คือเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการทำ "ฮอโลคอสต์" (ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) ชาวยิว ทำให้ชาวยิวกว่าหกล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกัน

เรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ฮิมเลอร์ มีความสนใจในด้านโหราศาสตร์และสิ่งลี้ลับต่างๆ อยู่ไม่น้อย 

ถึงกับก่อตั้งหน่วยงานที่มีชื่อว่า อาเนินแอร์เบอ ขึ้นมาเพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับ พันธุ์ศาสตร์ ภูมิศาสตร์การเมือง นิรุกติศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี เทพนิยาย ตลอดจนโหราศาสตร์ และเวทมนตร์คาถา โดยมุ่งหวังในการใช้ผลการวิจัยเป็นเครื่องมือสนับสนุนลัทธิชาตินิยมของพรรคนาซี

เราก็ลองตั้งแกน UR/AP (โหราศาสตร์) ในดวงชะตานี้ดูก็จะพบว่า

UR/AP = SU = VE = ZE = AD กันเลยทีเดียว (และ =AR = ME = SA = NE ในมุมอ่อน)

แต่ชะรอยว่า SA และ NE ในมุมอ่อนจะมีอิทธิพลรุนแรงไปหน่อยหรือไรไม่ทราบ เพราะดูเหมือนว่าพรรคนาซีจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ซักเท่าไหร่ 

มิหนำซ้ำระยะหลังๆ ยังเป็นเจ้าภาพในการล้างบางวงการโหราศาสตร์ในเยอรมันอีกต่างหาก เล่นเอาโหราจารย์เยอรมันหลายคนถูกจับไปอยู่ในค่ายกักกัน ที่ต้องไปเสียชีวิตอยู่ในนั้นก็มิใช่จำนวนน้อยๆ

ขอบเขตความหมายของ ลัคนา อาทิตย์ และจันทร์

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ขอสรุปเป็นภาพในรูปที่ 12  เปรียบเทียบขอบเขตความหมายของลัคนาอาทิตย์ และจันทร์ ที่สะท้อนถึงตัวตนของเจ้าชะตาในระดับต่างๆ

ลัคนาเป็นระดับเปลือกนอกของบุคคล เป็นการแสดงออกที่คนอื่นสังเกตเห็นได้ในแรกพบ เป็นตัวตนที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เป็นตัวตนที่บุคคลแสดงออกมาตามความคาดหวังของบุคคลรอบข้าง

อาทิตย์เป็นตัวตนโดยรวม เป็นเป้าหมายหลักของชีวิตบุคคล คนอื่นจะรับรู้ลักษณะอาทิตย์ของเจ้าชะตาได้อาจต้องคบหากันสักระยะหนึ่ง 

ส่วนจันทร์เป็นตัวตนที่อยู่ลึกเข้าไปในระดับจิตใจ จันทร์เป็นสิ่งที่สังเกตยากที่สุด เป็นส่วนที่คนอื่นยากจะรับรู้ได้ ตัวเจ้าชะตาจะรู้เองว่าอะไรที่สร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้เจ้าชะตา อันนั้นคือจันทร์

ขอยกตัวอย่างจะได้เห็นภาพชัดขึ้น

บุคคลที่มีลัคนาอยู่ราศีมังกร จะเป็นเหมือนพระเอกในครอบครัว เป็นผู้ที่คนรอบข้างคาดหวังว่าจะเป็นเสาหลัก เป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมดของครอบครัว บุคคลจึงแสดงออกเป็นคนจริงจัง เอางานเอาการ (ซึ่งจริงๆเขาอาจจะไม่ชอบก็ได้) 

ส่วนบุคคลที่มีอาทิตย์ในราศีมกร เป็นคนที่มีเป้าหมายจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อตนเองจะได้แผ่รังสีให้คนอื่นได้เห็นว่าฉันคือใคร บุคคลจึงมีธรรมชาติเป็นคนจริงจังเอาการเอางาน 

ส่วนบุคคลที่มีจันทร์ในราศีมังกรจะรู้สึกว่าตนเองปลอดภัย (เพราะความคุ้นชินที่สั่งสมมา) เมื่อตนได้ประสบความสำเร็จ จึงเป็นคนจริงจังเอาการเอางาน

อาทิตย์ จันทร์ และลัคนา เป็น 3 จุดที่สำคัญที่สุดในดวงชะตา เพราะเป็นจุดที่อธิบายลักษณะของตัวเจ้าชะตาโดยตรง 

เพียงแค่อ่าน 3 จุดนี้ให้ออก เราก็สามารถเข้าใจบุคคลที่ดวงชะตาสะท้อนออกมาได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจ 3 จุดนี้ให้ดี 

🙂

เรียบเรียงจาก หนังสือ : โหราศาสตร์สากลร่วมสมัย 

เขียนโดย : อ.กาลจักร

ณ.งานเสวนาเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แห่งหนึ่ง


เรื่องนี้ความจริงหลายปีมาแล้ว ก็เก็บมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ ในวันอาทิตย์ฟ้าครึ้มๆ ... 🙂

คือกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในงานเสวนาเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แห่งหนึ่ง 

หลังจากเปิดงาน วิทยากรท่านแรกก็ออกมาบรรยายที่หน้าห้อง แต่เนื่องจากวิทยากรท่านนี้ไม่ได้เป็นนักโหราศาสตร์ บรรยายอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ซักที ฟังไปฟังมาก็ชักให้กร่อยๆ 

ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยเปิดกระดานภิเพกประจำตัวขึ้นมาแล้วตั้งดวงแบบกาลชะตา (Horary) ดูแก้เซ็งไปพลางๆ ตอนนั้นก็ใช้จานแบบ 90 องศาเพราะจะดูแต่มุมดาวขี้เกียจดูอย่างอื่น

ว่าแล้วก็ตั้งจุด "โหราศาสตร์" (มฤตยู/อโพลอน) ขึ้นมาในดวงจร 

พบว่าวันนั้น มฤตยู/อโพลอน = ราหูพอดี .... อัยย๊ะ ค่อยสมกับเป็นวันแห่งการจัดงานเสวนาทางโหราศาสตร์หน่อย

แต่พอดูศูนย์รังสีอื่นๆ ที่มาทำมุมกับจุดนี้พร้อมกับพิจารนาการบรรยายของวิทยากรที่กำลังบรรยายอยู่แล้ว (ตาก็เหลือบไปมองโปรแกรมบรรยายของงานแบบจริงจัง) ตอนนั้นก็พอจะเดาๆ ทิศทางได้ว่างานวันนี้มันจะไปทางไหนยังไงกันต่อ

จุดปัจจัยเมอริเดียน (Mc) ในดวงทรานสิทนั้นในการพยากรณ์แบบ Horary มีความหมายว่า "ขณะนั้น" 

ว่าแล้วก็ดูที่จุดเมอริเดียนในดวงจรก็พบว่าใกล้ๆ จะมาถึงจุดโหราศาสตร์ที่เป็นแกรพยากรณ์นี่แล้ว

ก็เลยทายไปเล่นๆ กับมิตรสหายที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นการฆ่าความเบื่อไปว่า 

"เมื่อเมอริเดียนจรมาถึงจุดโหราศาสตร์ประจำวัน วิทยากรท่านนี้คงจะหยุดบรรยาย และการบรรยายคนจะได้เข้าเรื่องโหราศาสตร์จริงๆ" 

ว่าแล้วก็นั่งลุ้นระทึกไปเงียบๆ ราวกับนั่งลุ้นบิงโก

และแล้ว พอเมอริเดียนจรมันวิ่งเข้าระยะวังกะของจุดโหราศาสตร์เท่านนั้นแหละ วิทยากรก็กล่าวจบบรรยาย จากนั้นก็ลาเวทีไป เสียงปรมมือในห้องก็ดังขึ้น 

ส่วนผมก็นั่งยิ้มไปคนเดียวเงียบๆ พร้อมกับคิดในใจว่า

"เชี้ย .... ทำไมกูซื้อหวยมันไม่แม่นงี้มั่งวะ!!!!"

Equivocal

ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ตลอดจนถึงความกำกวม (Equivocal) ต่างๆ

นำไปสู่การ(ต้อง)ตีความหมายของสมอง 

เพราะสมองมีหน้าที่ในการที่จะต้อง "เข้าใจ" สิ่งต่างๆ แม้ว่ามันกำลัง "ไม่เข้าใจ" ในสิ่งที่มันกำลังรับรู้ก็ตาม

ในการนี้ กระบวนการในการตีความหมายจึงมีความสำคัญมาก

และเมื่อสมองต้องตีความหมายให้กับสิ่งที่มันกำลังรับรู้ ในกระบวนการนี้ มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดึงเอา Resource (ประสบการณ์/ความเชื่อ/ค่านิยม) ทั้งภายในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกออกมาใช้อย่างมหาศาล 

โดยผลลัพธ์จากการตีความหมายจะเป็นไปในทิศทางใดนั้น ก็ย่อมขึ้นกับรูปแบบของ Resource ที่อยู่ภายในจิตใจ(สมอง)ของแต่ละคน สำหรับสิ่งเดียวกัน สมองแต่ละก้อนจึงสามารถตีความหมายได้แตกต่างกันตามรูปแบบของ Resource ที่แตกต่างกันออกไป

ดังนั้นกระบวนการตีความหมายจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างจิตภายในและสิ่งที่กำลังรับรู้จากโลกภายนอก ทำให้สิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ภายในจิตใจถูกขับเคลื่อนออกมา

นี่เป็นหลักการพื้นฐานของการทำ Projective Test ในงานจิตวิทยา 

และเป็นกลไกซึ่งใช้ในการทำนายทายทัก ในวิชาโหราศาสตร์ รวมไปถึงพยากรณ์ศาสตร์ทุกแขนง?

การสะท้อนเรือนของเมอริเดียน ลัคนา ราหู และจันทร์

ถ้าเราพิจารนาวิธีการสะท้อนเรือนของเรือนชะตาลัคนาจะพบว่ามันมีลักษณะเดียวกับเรือนชะตาราหู

ในขณะที่วิธีการสะท้อนเรือนของเรือนชะตาเมอริเดียนจะมีลักษณะเดียวกับเรือนชะตาจันทร์

ทั้งนี้ก็เพราะ ลัคนาและราหูนั้นล้วนเป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างเจ้าชะตากับโลกภายนอก

ลัคนาคือรูปธรรม สิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งใกล้ชิด ส่วนราหูคือนามธรรม ความรู้สึกผูกพันธ์ ความหลงไหลกับสิ่งต่างๆ

ในขณะที่ เมอริเดียนและจันทร์ล้วนเป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างเจ้าชะตากับจิตภายใน

เมอริเดียนคือชั้นลึก เป็นสันดานหรือตัวตนที่แท้จริงของคน ส่วนจันทร์คือชั้นตื่น คืออารมณ์ความรู้สึกที่พร้อมจะแปลปรวนได้ตลอดเวลา

ลัคนาแท้จริงคือเรื่องเดียวกับราหู จึงใช้เป็นจุดเริ่มต้นเรือน 1 เหมือนกัน

ส่วนเมอริเดียนแท้จริงคือเรื่องเดียวกับจันทร์ จึงใช้เป็นจุดเริ่มต้นเรือน 10 เหมือนกัน

เรือนชะตาสะท้อน

การสะท้อนของเรือนชะตายูเรเนี่ยนไม่ใช่เรื่องของเรือนชะตาที่มีสภาวะตรงข้าม (แม้จะดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น) หากแต่เป็นเรื่องของเรือนชะตาที่มี "สภาวะเดียวกัน" 

เหมือนดั่งภาพเงาของตัวเราที่สะท้อนอยู่ในกระจก ก็ย่อมมีลักษณะเหมือนกับตัวเราทุกประการ แม้ว่าเงานั้นจะมิใช่ตัวเราก็ตาม

เช่นว่าในเรือนราหู (Houses of Node) ซึ่งบอกเรื่องราวของความรู้สึกผูกพันที่เจ้าชะตามีต่อสิ่งต่างๆ 

ได้กำหนดให้เรือนชะตาที่ 1 สะท้อนเรือนชะตาที่ 3

หมายความว่า ในทางปรัชญาโหราศาสตร์แล้ว เรือนชะตาที่ 1 และ 3 ความจริงคือเรื่องเดียวกัน

เพราะคนเรามีจิตสำนึกผูกพันภายในตนเองมากน้อยดีชั่วอย่างไร เขาก็ย่อมผูกพันพี่น้อง พวกพ้อง มิตรสหายของเขาเช่นเดียวกันนั้น 

ดังนั้นหากเรือน 1 ดี เรือน 3 ก็พรอยดีไปด้วย (ถ้า 3 ดี 1 ก็ดีตาม) แต่ถ้าหากเรือน 1 ชั่วเรือน 3 ก็พรอยชั่วตามไปด้วย (ถ้า 3 ชั่ว 1 ก็ชั่วตาม)

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรือนชะตาราหู เรือนชะตา 1 มีเนปจูนสถิต หมายถึงเจ้าชะตาเป็นผู้ไม่มีความผูกพันไม่มั่นคงเป็นพื้นฐาน เรือนชะตา 3 ซึ่งหมายถึงพี่น้องเพื่อนพ้องก็ย่อมรับผลกระทบจากเนปจูนในเรือน 1 นี้ตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก็เข้าสูตร "เราไม่จริงใจกับใคร แล้วใครจะมาจริงจังกับเราเล่า?" อะไรทำนองอย่างนั้น

ก็ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลให้หากเรือน 1 ไม่มีดาวก็สามารถไปหยิบยืมดาวจากเรือน 3 มาอ่านเรือน 1 แทน หรือถ้าเรือน 3 ไม่มีดาวก็สามารถไปหยิบยืมดาวจากเรือน 1 มาอ่านเรือน 3 แทน เช่นนี้เป็นต้น

เพราะโดยเนื้อแท้แล้วสองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน ถ่ายทอดถึงกันดั่งเช่นเงาสะท้อนในกระจก

สำหรับเรือนอื่นก็ทำนองเดียวกัน

เรือน 2 สะท้อนเรือน 8 คือรู้สึกหวงข้าวของทรัพย์สมบัติ(2)กับความรู้สึกสูญเสีย( 8 ) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 4 สะท้อนเรือน 12 คือความผูกพันธ์ต่อครอบครัว(4)กับการมีบ้านเล็กบ้านน้อย(12) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 5 สะท้อนเรือน 11 คือความผูกพันกับบุตรหลานหรือความรักสนุก(5)กับความผูกพันกับสหายร่วมอุดมการณ์หรือการเปิดรับความสัมพันธ์(11) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 6 สะท้อนเรือน 10 คือความผูกพันกับบริวาร(6)และความผูกพันกับตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง(10) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 7 สะท้อนเรือน 9 คือความผูกพันกับคู่ครอง(7)และความยึดมั่นต่อศีลธรรม(9) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เช่นนี้เป็นต้น


27 ดาวนักขัตฤกษ์


27 ดาวนักขัตฤกษ์


  1. อัศวินี (ม้า รูปคอม้า หางหนู) อยู่ในฤกษ์ทลิทโท ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดฤกษ์นี้ยอดกตัญญูรู้คุณในบิดา มีความรู้มาก แต่ใช้วิชาไปในทางที่ผิดหรือเสื่อมเสีย ภายหลังจะมีผู้ใหญ่ปองร้าย แต่ก็จะรอดตัวได้และได้ดีในภายหลัง ผู้ที่เกิดฤกษ์นี้มักจะขัดสนข้นแค้น และยอมทำทุกอย่างเพื่อการดำรงชีพของตน

  2. ภรณี (ก้อนเส้า ธงสามเหลี่ยม แม่ไก่) อยู่ในฤกษ์มหัทธโน ท่านพยากรณ์ว่า จะได้เป็นใหญ่แต่หนุ่มสาว ศัตรูปองร้ายก็ไม่ถึงตาย งานไปศัตรูก็จะกลับมาเป็นมิตร

  3. กฤติกา (ลูกไก่) อยู่ในฤกษ์โจโร ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้มีรูปงาม จะรอบรู้ในศิลปะศาสตร์ทั้งปวง มักสู้ครู และอกตัญญูต่อครูบิดาอาจารย์ มีผู้คิดทำร้ายก็ไม่ตาย จะผิดต่อภรรยาท่าน และจะตายด้วยกามกิเลส

  4. โรหิณี (ไม้ค้ำเกวียน คางหมู จมูกม้า) อยู่ในฤกษ์ภูมิปาโล ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้มักมีโทสะร้าย อาจถึงฆ่าบุตรของตนได้ และจะวิบากเพราะโทสะนั้น

  5. มฤคศีรษะ, มิคสิระ หรือมฤคศิระ (หัวเนื้อ เหมือนหัวเนื้อ หัวเต่า) อยู่ในฤกษ์เทศาตรี ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ซึ่งเกิดในฤกษ์นี้มักหลงใหลในสิ่งที่ตนรักจนไม่คำนึงถึงตนเอง เมื่อใกล้ตายย่อมทุกข์ทรมานมาก สิ่งใดที่เป็นของรักมากนำความทุกข์มาให้ภายหลัง

  6. อาทรา (เต่า ฉัตร) อยู่ในฤกษ์เทวี ท่านพยากรณ์ว่า จะกำพร้า แต่ต่อมาจะมีผู้อุปถัมภ์อย่างดีเยี่ยมจนได้เป็นใหญ่ มีวิชาการอันเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง

  7. ปุนวสุ, ปุนัพสุ หรือปุนรรพสุ (สำเภาทอง เรือชัย หัวสำเภา) อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ท่านพยากรณ์ว่า มักพลัดพรากไปอยู่อย่างแดนไกล จะได้คู่ครองเป็นคนต่างชาติต่างภาษาซึ่งรักใคร่กันดี มีความสามารถอันเป็นที่ยอมรับนับถือของปวงชนทั่วไป

  8. ปุษยะ(สมอสำเภา ปุยฝ้าย พวงดอกไม้ บัวหลวง)  อยู่ในฤกษ์ราชา ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะเป็นที่รักของคนทั้งปวง จะมีชื่อเสียง ทรัพย์สิน มรดกเป็นอันมาก 

  9. อาศเลศา หรืออาษเลษา(พร้อม เรือน คู้ข้อศอก แขนคู้) อยู่ในฤกษ์สมโณ ท่านพยากรณ์ว่า มักกำพร้าและมีบุตรยาก อายุไม่ยั่งยืน มักตายด้วยอาวุธ

  10. มฆา, มาฆะ (งอนไถ งูผู้ ปัสสาวะวัว วานร) อยู่ในฤกษ์ทลิทโท ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะเสียตัวตนเพราะคนลวง และจะถูกสัตว์ 4 เท้าทำลายถึงชีวิต

  11. บูรพผลคุณี (เพดานหน้า แรดตัวผู้ งูตัวเมีย) อยู่ในฤกษ์มหัทธโน ท่านพยากรณ์ว่าจะวิบัติด้วยความประมาทของตนเอง ไม่ยำเกรงต่อผู้ที่ควรเคารพ

  12. อุตรผลคุณี (เพดานหลัง แรดตัวเมีย งูเหลือม) อยู่ในฤกษ์โจโร ท่านพยากรณ์ว่า อายุจะไม่ยืน และจะต้องโทษด้วยผิดภรรยาท่าน

  13. หัสตะ (ศอกคู้ ฝ่ามือ เหนียงสัตว์) อยู่ในฤกษ์ภูมิปาโล ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้ชีวิตจะยากจนหาเช้ากินค่ำ ออกบวชเสียจึงจะดี

  14. จิตรา (ตาจรเข้ ไต้ไฟ ต่อมน้ำ) อยู่ในฤกษ์เทศาตรี ท่านพยากรณ์ว่า จะเกิดอันตรายจากสัตว์น้ำ หรือตกน้ำตาย

  15. สวาตี หรือสวาติ (ช้างพัง ดวงแก้ว กระออมน้ำ) อยู่ในฤกษ์เทวี ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะกำพร้ามารดาบิดา จะต้องเที่ยวเร่ร่อนไปยังที่ต่างๆ จัดมรณะด้วยการกินอาหารผิดสําแดง

  16. วิศาขา หรือวิสาขะ (ฆ้อง ไม้ฆ้อง เหมือง หนองลาด คันฉัตร) อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะมีปัญญารู้ศิลปศาสตร์เป็นอันดี แต่จะถูกทำโทษเพราะผิดภรรยาท่าน

  17. อนุราธา หรืออนุราธะ (ประจำฉัตร หน้าไม้ ธนูหงอนนาค หมี) อยู่ในฤกษ์ราชา ท่านพยากรณ์ว่า จะมีโรคภัยเบียดเบียนแต่น้อย โตขึ้นจะรับทุกข์ภัยต่างๆ และจะถูกยิงตาย

  18. เชษฐะ หรือเชฏฐา (ช้างใหญ่ งาช้าง คอนาค แพะ) อยู่ในฤกษ์สมโณ ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะมีสิริโฉมรูปอันงดงาม เป็นที่นิยมของคนทั้งปวง แต่วาจาจะกลับกลอก มักเห็นประโยชน์ส่วนตนเสมอ 

  19. มูละ (ช้างน้อย ท้องนาค สะดือนาค) อยู่ในฤกษ์ทลิทโท ท่านพยากรณ์ว่าจะตายด้วยผิดประเวณี

  20. บูรพาษาฒ (แรดตัวผู้ สัปคับช้าง ปากนก ช้างพลาย) อยู่ในฤกษ์มหัทธโน ท่านพยากรณ์ว่าจะมีผู้ชุบเลี้ยงให้ มักพลัดพรากจากบิดามารดา แต่น้อยมีโรคภัยมาก จะตกลงมาตายจากที่สูง

  21. อุตราษาฒ (แรดตัวตัวเมีย แตรงอน ครุฑ) อยู่ในฤกษ์โจโร ท่านพยากรณ์ว่า จะมีผู้อุปถัมภ์มาก และเป็นที่เคารพยำเกรงแก่คนทั้งปวง จะคลอดบุตรตาย หรือผิดสำแดงตาย ถ้าชายก็จะตายด้วยสตรีเป็นเหตุ

  22. ศรวณะ หรือสราวณะ (คนจำศีล หลักชัย โลง) อยู่ในฤกษ์ภูมิปาโล ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้มักหยิ่งจองหอง และจะเสียตนเพราะคนลวง

  23. ศรวิษฐะ หรือธนิษฐะ (กา ไซ) อยู่ในฤกษ์เทศาตรี ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะตายเพราะความโลภ ขาดปัญญาที่จะพิจารณาถึงมรณภัยเบื้องหน้า

  24. ศตภิษัช (มังกร งูเลื้อย) อยู่ในฤกษ์เทวี ท่านพยากรณ์ว่าจะเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุ มีผู้ปองร้าย หรือถูกลอบทำร้ายจนเสียชีวิต

  25. บูรพภัทรบท (ราชสีห์ตัวผู้ หัวเนื้อทราย) อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะกำพร้าบิดามารดาแต่น้อย แล้วจะเป็นใหญ่ในเรือนของผู้อื่น จะมีทรัพย์เป็นอันมาก บุตรคนแรกจะเป็นหญิง จะเสียเงินทองเพราะหลงเชื่อคนลวงด้วยถ้อยคำอันหวาน

  26. อุตรภัทรบท (ราชสีห์ตัวเมีย ไม้เท้า) อยู่ในฤกษ์ราชา ท่านพยากรณ์ว่าจะถึงแก่ความวิบัติเพราะความโลภ อย่าดูหมิ่นศัตรูที่มีกำลังเหนือตน

  27. เรวตี หรือเรวดี (ปลาตะเพียน) อยู่ในฤกษ์สมโณ ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้มักโง่เง่าโฉดเขลา หาได้พิจารณาเห็นอันตรายเบื้องหน้าของตนไม่ จะตายด้วยสัตว์น้ำ หรือตกน้ำตาย


คำพยากรณ์ของ 27 ดาวนักขัตฤกษ์นี้เป็นคำพยากรณ์แบบโบราณ การจะนำมาใช้พยากรณ์ชีวิตคนสมัยใหม่จึงควรต้องประยุกต์เนื้อหาของคำพยากรณ์มากพอสมควร โดยทั่วไปจะใช้ฤกษ์ของจันทร์เป็นตัวออกคำพยากรณ์ แต่จะใช้ฤกษ์ของปัจจัยหรือดาวอื่นก็ย่อมได้ 


:)


วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2564

ทะเลาะกันหนักมาก


ช่วงนี้ของซัก 5 ปีก่อนชีวิตผมดราม่าหนักมาก ถึงกับตัดเพื่อนเลิกคบกันไปหลายคน แต่ผลที่ตามมานับว่าดี ชีวิตเบาขึ้นอีกมากโข

จดดวงเก็บเอาไว้ดังในรูปนี้

ในทางหลักการแล้ว ยูเรเนี่ยนจะใช้วิธีอ่านดวงเป็นชั้นๆ ไล่จากดวงกำเนิด ดวงปี จนไปสุดกันที่ดวงวันหรือดวงนาที แต่เรื่องทั่วๆไปในชีวิตนั้น ในทางปฏิบัติจริงก็มักอ่านเทียบกับจรปัจจุบันได้เลย

จะเห็น NO กำเนิด ได้ทั้ง เสาร์ มฤตยู เนปจูน ในจร แถมมี พุธ/เสาร์ ตามมาแจมอีก มิน่าช่วงดราม่ากับชาวบ้านไปทั่ว 5555555555

เฉพาะ เสาร์ มฤตยู เนปจูน นี้ความจริงคลุมเคลือ อาจตีความไปได้มากมายหลายอย่าง แต่เราก็พอประเมินได้ง่ายๆ ว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาหนักหน่วงของเจ้าชะตาพอสมควร แต่จะหนักไปทางไหน?

ในกรณีนี้เรารู้ว่าช่วงนี้ดราม่าเยอะ ความจริงก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะมีดราม่าดีกว่าเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรืออะไรอย่างอื่นที่ร้ายแรงกว่านี้

เราอาจมองตามแนวคิดเบื้องต้นที่ว่าดาวจรนั้นให้กำลังอ่อนก็ได้ คือถ้าไม่มีดวงกำเนิด ดวงปี นำทางมากก่อน ดวงจรจะร้ายอย่างไรก็ร้ายได้ไม่มาก เช่นกรณีนี้ดวงโค้งปีไม่มีอะไร ดาวจรร้ายก็เลยมาในรูปความทุกข์ร้อนใจทั่วๆไป (ซึ่งก็ดีแล้ว)

ถ้าเราดูฉากหลังประกอบไปด้วย เราจะพบว่า

เสาร์ ราศีธนู (อุดมการณ์) ส่วมฤตยู ราศีเมษ (การริเริ่ม) ก็คือทะเลาะกันเรื่องแนวคิดทางอุดมคติหรืออุดมการณ์ล้วนๆ ส่วนเนปจูน ราศีมีน (ปรัชญา) คือล้วนแล้วแต่เป็นของที่จับต้องไม่ได้ทั้งสิ้น

ทะเลาะกันเพื่ออะไรวะ? 555555

ส่วน พุธ/เสาร์ อยู่ราศีตุล (ประณีประนอม มิตรภาพ) ทำมุมกุมกับ NO กำเนิดและมีมฤตยูเล็ง จึงด่ากันหนักมาก ซัดกันแบบเสียเพื่อนกันไปเลย แต่ข้อดีคือพุธนั้นเดินเร็ว แป๊บเดียวก็ออกไป เลิกด่าแล้วโกอะเวย์กันไป

วาสนา

 


มีบางท่านถามว่า เหตุใด “วาสนา” จึงเป็นลัคนา และ “กรรม” จึงเป็นเมอริเดียน? ก็ขอตอบอย่างนี้ว่า

สำหรับเมอริเดียน หรือจุดจอมฟ้า หรือ ทศมลัคน์ นั้นเชื่อถือกันมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นจุดกรรมเก่า ตามหลักเรือนชะตาจุดเมอริเดียนก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนชะตาที่ 10 ที่มีชื่อว่ากัมมะ หรือก็คือกรรมนั่นเอง

หลักการอย่างนี้เชื่อถือกันมาตั้งแต่โหราศาสตร์อินเดีย ผมเข้าใจเอาเองว่าแนวคิดอย่างนี้โหราจารย์ยูเรเนี่ยนน่ารับอิทธิพลมาจากโหราศาสตร์อินเดียอีกที เพราะเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ค่อยปรากฏอยู่ในความคิดของคนตะวันตก(อย่าลืมว่ายูเรเนียนนั้นเกิดที่เยอรมัน) แต่จะมีมาตั้งแต่เริ่มแรกหรือรับเพิ่งรับกันมาในรุ่นหลังหลังอันนี้ก็สุดปัญญาจะตอบได้

สำหรับลัคนานั้น โดยเบื้องต้นยูเรเนียนให้คำนิยามว่า “สิ่งแวดล้อมใกล้ชิดซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าชะตาโดยตรง” ความจริงเพียงแค่ความหมายตรงนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุใดลัคนาจึงหมายถึงวาสนา

ลองนึกถึงคนที่เกิดมาในสังคมเมืองใหญ่ในครอบครัวมั่งคั่งมีชีวิตสมบูรณ์พร้อมและสุขสบาย แล้วก็นึกถึงอีกคนหนึ่งซึ่งโตมาในสังคมบ้านป่าเมืองเถื่อน

เฉพาะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างนี้ก็คงเพียงพอแล้วอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้ความคิดความอ่านและบุคลิกภาพของคนทั้ง 2 นี้มีความแตกต่างกัน ดังนั้นโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จตามที่คิดหวัง แม้แต่จริตกิริยามารยาท หรือปัญญาซึ่งเกิดจากการได้รับการศึกษาก็ย่อมแตกต่างกันได้มากทีเดียว

ก็นี่แหละคือวาสนาของคนที่แตกต่างกัน

สรุปคือสิ่งแวดล้อมดีก็คือเกิดมาวาสนาดี สิ่งแวดล้อมแย่ก็คือเกิดมาด้วยวาสนา

ก็ขอจบง่ายๆอย่างนี้แหละ


ยามอุบากอง

  • “ศูนย์หนึ่ง อย่าพึงจร แม้นราญรอน จะอัปปรา
  • สองศูนย์ เร่งยาตรา จะได้ลาภสวัสดี
  • สี่ศูนย์ พูลสวัสดิ์ ลาภไม่ขัด ภัยบ่มี
  • กากบาท ตัวอัปรี แม้นจรลี จะอัปรา
  • ปลอดศูนย์ พูลผล แม้นจรดล จะสุขา”

ยามอุบากอง อาร์ตเวิร์คตามภาพต้นฉบับ จากปกหนังสือ โหราเวสม์ ฉบับที่ 93

ดวงถูกระเบิดตาย


ระเบิดนั้นเป็นไฟซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลัน เพราะฉะนั้นจึงใช้ UR/ZE เป็นตัวแทน หรือถ้าคิดว่ามันยังกว้างเกินไปต้องการให้เป็นระเบิดอย่างแท้จริงมากกว่านี้ก็อาจจะเติม VU เพิ่มเข้าไปอีกซักตัวเป็น UR+ZE-VU หรือ ZE+VU-UR อะไรทำอย่างนี้

สำหรับดวงชะตานี้แหล่งต้นทางว่าเสียชีวิตเพราะถูกระเบิด เรื่องตายปีไหนเดือนไหนนั้นตัดทิ้งไปก่อน สนใจแค่เรื่องโดนระเบิดตายกันก่อนก็พอ

ความจริงระเบิดเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะไม่ใช่ว่าจะเจอกันโดยทั่วไปได้ในชีวิตของทุกคน ดังนั้นเรื่องพิเศษหรือสำคัญขนาดนี้จึงควรปรากฏอยู่ในพื้นชะตา นี่ว่ากันตามหลักการพื้นฐานทั่วไป

ในดวงชะตานี้ทดลองตั้ง UR/ZE จะพบว่าถึง MO = NO = VE = VU

นั่นหมายความว่ามีสมการ UR+ZE-VU หรือ ZE+VU-UR ซ้อนทับอยู่ในแกนนี้เองตามธรรมชาติ และที่สำคัญคือมี MO และ NO ที่ล้วนเป็นจุดเจ้าชะตาสำคัญร่วมอยู่ในแกนนี้ด้วย

ลองมาแบบนี้แล้วเรื่องที่ว่าเจ้าชะตาเจอระเบิดก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรอีก เพราะถึงจุดเจ้าชะตาตั้ง 2 ตัว

แต่ประเด็นก็คือ การอ่านดวงโดยเอาเหตุการณ์เป็นตัวตั้งแล้วเอาดวงชะตาย้อนเข้าไปหาอย่างนี้เราสามารถทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นการหาความสอดคล้องกันระหว่างดวงชะตากับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการฝึกอ่านดวงชะตา

แต่ถ้าเราในแง่ของการพยากรณ์ล่ะ?

เช่นสมมุติว่าเราไม่ทราบมาก่อนว่าดวงนี้เจ้าชะตาเจอระเบิดมานะ ไม่ใช่การพิสูจน์แต่เป็นการอ่านทั่วไป ลำพังเพียงแต่อ่านดวงชะตาเฉยๆ เราจะสามารถมองเห็นหรือไม่ดวงนี้จะต้องเจอระเบิดซักวันในชีวิต

ว่ากันตามจริงเพียงแต่อ่านแกน NO หรือ MO ก็สามารถเห็นโครงสร้างนี้ได้ไม่ยาก

แต่จะตีความหมาย จะกล้าทายหรือเปล่า?

ตรงนี้แหละ คือศิลปะในการอ่านดวงชะตา เป็นเรื่องของประสบการณ์ล้วนๆ หรืออาจจะมองว่าเป็นเรื่องของสภาวะจิต(ญานรู้)ในขณะอ่านดวงก็ย่อมได้

ดวงตายทั้งกลม


ดวงนี้ท่านว่าเจ้าชะตาเป็น ญ. เสียชีวิตขณะคลอดบุตร เรียกว่าตายทั้งกลมก็น่าจะพอได้ ซึ่งคนโบราณท่านถือว่าเฮี้ยนนักหนา มาสมัยนี้การสาธารณะสุขดีกว่าแต่ก่อนมาก ลักษณะทำนองนี้จึงน้อยลงไปเยอะ

ดวงชะตานี้เปิดมา เห็น SU = HA = AD จับกันเป็นกลุ่ม นอกจากนี้ MO ก็ยังถึง AD นี่เริ่มเปิดเรื่องมาอย่างนี้ก็ชักไม่ค่อยดีแล้ว

การให้กำเนิดบุตรนั้นโดยมากมักใช้ MA/JU หรือ SU/ZE เป็นตัวแทน

เราลองตั้งแกนทั้งสองในดวงชะตาก็จะพบว่า

MA/JU = NE ในขณะที่ SU/ZE = NO = PO = HA = AD เฉพาะ HA กับ AD นั้นสัมพันธ์ถึงในมุมอ่อน ส่วน PO นั้นเคยกล่าวถึงหลายครั้งแล้วว่านอกจากจะหมายถึงปัญญาบริสุทธ์หรือศาสนาแล้วก็มักเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของความตายอยู่เป็นประจำ

สรุปว่าทั้ง MA/JU และ SU/ZE ล้วนมีปัญหา

คราวนี้ลองตั้งแกน MA/SA (มรณะ)ดูบ้างจะพบว่า MA/SA = UR = CU ดูเหมือนอะไรๆ มันจะชี้มาทางนี้กันหมดในขณะที่แกน MA+SA-NO = NO เข้าสูตรตัวเบิ้ลกันเลยทีเดียว

สรุปการอ่านจาน 90

 


Lunar Arc


การอ่านดวงรายปีนั้นโดยมากใช้ Solar Arc หรือโค้งสุริยยาตร์เป็นเครื่องมือพยากรณ์

ความจริงนอกจาก Solar Arc หรือโค้งสุริยยาตร์แล้วก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Lunar Arc หรือโค้งจันทรยาตร์ ซึ่งเป็นเครื่องเป็นมือในการพยากรณ์รายเดือน

หลักคิดเรื่อง Lunar Arc นั้นก็เป็นไปทำนองเดียวกับ Solar Arc คือแปลวงรอบพระจันทร์ 1 รอบเป็นค่า 1 องศาแล้วบวกเพิ่มเข้าไปในดวงกำเนิด

ดังนั้นดวง Lunar Arc จึงเป็นดวงกำเนิดที่หมุนเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามอายุขัยทำนองเดียวกับ Solar Arc แต่มีรอบที่เร็วกว่า

และเนื่องด้วยรอบที่เร็วของมันนี้เอง ทำให้ถ้าเราอ่าน Lunar Arc เทียบกับดวงกำเนิดแล้วเราจะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเมคเซนต์ซักเท่าไหร่ เพราะชีวิตของเราในแต่ละเดือนปีมันจะเป็นวงจรวนไปเรื่อยๆ ซึ่งชีวิตคนเราเอาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นวงจรซ้ำซากอะไรขนาดนั้น

จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วพบว่าวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่

ดังนั้นในทางปฏิบัติจริง ดวง Lunar Arc จึงควรให้น้ำหนักในการอ่านเทียบกับดวงจร Transit มากกว่า แต่ก็ไม่ไม่ถึงกับว่าทิ้งการอ่านเทียบดวงกำเนิดไปเสียทีเดียว

ดวงตำรวจ ยิงคนตาย ติดคุก


ดวงชะตานี้มาจากหนังสือวิจารย์ดวงของ อ.อารมณ์ ชื่นเชาว์ไว ต้นทางท่านว่าเจ้าชะตาเป็นตำรวจ แต่ต่อมาเกิดอีท่าไหนไม่ทราบ กลายเป็นคนร้ายฆ่าคนตาย ก็ติดคุกติดตารางกันไปตามเรื่อง

ดวงนี้ SU = CU ก็น่าจะเป็นคนเข้าคนง่าย อย่างน้อยชีวิตก็มักมีเหตุให้ต้องพบเจอต้องเข้ากลุ่มสมาคมกับคนอื่นอย่ตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็ถึง SA ด้วยในเวลาเดียวกัน

ถ้ามองว่า SU = CU นี้แปลว่าเจ้าบ่าว ก็คงต้องเป็นคนแต่งงานช้าซักหน่อย ไม่งั้นแต่แล้วจะทุกข์ใจ

SU = SA นี้แปลว่าชายแก่ ชายที่มีความทุกข์ มีความอดทน เวลาอ่านดวงถ้าไม่รู้ดวงใครเราก็ทายกว้างๆไว้ก่อน โดยเฉพาะการอ่านพื้นชะตา

ส่วน MO นั้นถึง HA ค่อนข้างสนิทองศา เรื่องอารมณ์นั้นร้ายกาจแน่นอน หรืออาจมองว่าเสื่อมทรามเพราะอารมณ์ตัวเองก็ย่อมได้

ถ้าเรามอง MO ในเชิงบุคคล เช่นแม่หรือภรรยา ตรงนี้ก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าหมายถึงแม่หม้ายหรือหญิงพิการได้จะดีกว่า เพราะความหมายที่เหลือไม่สู้ดีนัก

ความเจริญในชีวิตคน ท่านว่าให้ดู JU ดวงนี้ JU = KR ก็สมควรแล้วที่ได้รับราชการทหาร นอกจากนี้ยังถึง ME ด้วย คือมีโชคจากคำพูดคำจา ความคิด หรือการติดต่อสื่อสาร

ความจริง JU ยังเกือบจะถึง MC ด้วย ขาดเกินไปเพียงไม่กี่องศา แต่เรื่องเวลาเกิดนั้นไม่ค่อยชัวร์ก็ละไว้ก่อน

ส่วนความทุกข์ของคนนั้นท่านให้พิจารนาที่ SA

ก็ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าดวงนี้ SU ถึง SA

ความจริง SA (และ SU) นี้ยังมี VU เข้ามาร่วมด้วย

เฉพาะ SA/VU นี้ความจริงความหมายตรงๆเลยถูกจับกุม ถูกกุมขัง เสียอิสระภาพไปไหนไม่ได้ เมื่อ SA/VU = SU นี่ก็แปลตรงๆเลยว่านักโทษชาย ตรงกับท้องเรื่องเลย

แต่ในทางปฏิบัติจริงถ้าไม่รู้กันมาก่อนว่าดวงใครเราก็คงไม่แปลอะไรหนักข้ออย่างนั้น แปลกลางๆว่ามักต้องอยู่เวรยาม หรือมักต้องแบบภาระหนักๆ ไว้ก่อนก็พอ เว้นกินดีหมีหัวใจมังกรมาก็จัดเต็มไป ถ้าโดนก็ดัง ไม่โดนก็เปลี่ยนเรื่องคุย 😑

ในกรณีนี้เรารู้มาก่อนแล้วว่าเจ้าชะตาก่อดคีติดคุก ก็อาจจะลองครอสเช็คที่แกนอย่างอื่นที่แปลว่าติดคุกอีกครั้ง เช่น SA/HA ในดวงนี้ก็จะพบว่า SA/HA = PL = AD

เฉพาะ SA/HA = PL นี่น่าเป็นห่วงเพราะ PL แปลว่าหลายหน ซ้ำๆซากๆ แสดงว่าโอกาสเดินเข้าเดินออกก็มากอยู่ซักหน่อย

ความจริงถ้าเราดูต่อไปในระดับศูนย์รังสี จะพบว่า SA/HA = MO/CU = MO/VU = MC/MA = MC/VE มองรวมๆแล้วมีก็โอกาสสูงทีเดียวที่จะชะตาจะเข้าคุกเพราะเรื่องชู้สาว แต่ตรงนี้เราไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดก็ละไว้เป็นข้อสังเกตเฉยๆ

และจะขอปิดด้วยแกน HA/VU ในดวงชะตาเพราะมีความหมายโดยตรงว่าฆาตกรรม ในดวงชะตานี้จะพบว่า HA/VU = PO = SU/MO

ก็เรียกว่าไม่ธรรมดากันเลยทีเดียว

ดาวโคจรไปสู่และค่าโค้งอายุ


ดวงนี้ SA จรไปสู่ SU ห่างกันไปประมาณ 6.5 องศา ปรากฏว่าช่วงที่เจ้าชะตาอายุประมาณ 7 ขวบ บิดาของเจ้าชะตาประสบอุบัติเหตุหนัก ชีวิตตอนนั้นตกระกำลำบากมากพอสมควร

ส่วนมารดาก็ขึ้นมาเป็นหัวหลักหัวแรงของครอบครัวแทน ก็พอดีกับ MO จรไปสู่ ZE และ MC ซึ่งห่ากันประมาณ 6.5 องศาเช่นกัน

ดวงผู้กำกับหนุ่มคนดัง


ดวงนี้ของนายตำรวจหนุ่มคนที่เป็นข่าวดังโคตรๆ อยู่ในนี้ สำหรับวันเดือนปีกำเนิดนั้นท่าไป google เอาเถิด แป๊บเดียวก็เจอ ส่วนเวลากำเนิดนั้นเล่าลือกันว่าใกล้ๆเวลาเที่ยงไม่กี่มากน้อย เท็จจริงผมก็ไม่ทราบเพราะฉะนั้นตั้งไปที่ 12.00 ตามหลักนิยมก็ไม่น่าเกลียด ว่าแล้วตัด MC และ AS ออกจากดวงชะตาตามหลักนิยมอีกเช่นกัน

ตำรวจสันติบาลนั้น ตำราท่านกำหนดไว้ชัดเจนว่าคือ HA/KR

ทำต้อง HA/KR อันนี้ตีความได้มากมายหลายประการ เพื่อความสงบสุขในชีวิตของข้าพเจ้าก็เอาเป็นว่า HA/KR แปลว่าตำรวจสันติบาลก็แล้วกัน 😑

ดวงนี้ถ้าเราตั้งแกนไปที่ HA/KR เพื่อดูชีวิตในแง่มุมนี้ของเจ้าชะตา ท่านจะพบ HA/KR = PL

ผมเคยเขียนถึงบ่อยๆ ว่าคนเป็นข้าราชการนั้นถูกโฉลกกับ PL เพราะแปลว่าพัฒนาการ(ที่ไม่ใช่ชื่อถนน) PL จึงช่วยให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งได้สะดวกรวดเร็วดังใจหมาย แต่จะเร็วเพราะอะไรยังไง ต้องป้อนอ้อยไปกี่กำมืออันนั้นอีกเรื่องนึง

กรณีของเจ้าชะตานี้ก็จะเห็นว่ามีพัฒนาการดีไม่น้อย อายุ 39 ปีต้นๆ ก็เป็นระดับผู้กำกับแล้ว (ท่านพ่อตาของแอดมินตอนอายุ 60 ไปได้ไกลสุดก็แค่ผู้กำกับจนๆ นี่แหละ 😑 )

นอกจากนี้เราจะเห็น HA/KR = PO ด้วย โดยค่าวังกะสุดตลิ่ง 1 องศาพอดี

และถ้าสังเกตดีๆ จะเห็น HA/KR = AP แบบสนิทองศาด้วย อันนี้แหละให้คุณประโยชน์นักหนา

สำหรับรายละเอียดอื่นๆ สามารถแปลเอาได้จากบรรดาศูนย์รังสีที่ทำมุมถึงแกนนี้ ค่อยๆแปลไปทีล่ะคู่ ปะติดปะต่อข้อมูลไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย ใครสะดวกก็ค่อยๆ แปลกันไป ซึ่งตรงนี้ก็จะขอละไว้ ขอโหนแต่พองามก็แล้วกัน

A/B and A+B-C

ศูนย์รังสี (Halfsum) หมายถึงจุดหรือตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างดาว 2 ดวง

ถ้าเขียนเป็นสูตร ก็จะเขียนได้ว่า (A+B)/2

โดย A และ B ก็คือค่าจำนวณองศาของดาวแต่ละดวง

เช่นดาว A อยู่ในตำแหน่ง 100 องศา (วัดจากจุดเริ่มต้นคือ 0 องศาราศีเมษ) ส่วนดาว B อยู่ตำแหน่ง 200 องศา

เพราะฉะนั้นจุดศูนย์รังสีของ A และ B ก็คือตำแหน่ง 150 องศา

มาจาก (100+200)/2 ตามค่าในตัวอย่าง

แต่ครั้นจะเขียนเป็น (A+B)/2 ก็แลดูรกรุงรังชมัด ในทางปฏิบัติจริงจึงย่นย่อเหลือ A/B พอ โดยเป็นที่รู้กันว่าไอ้เจ้า / ตรงกลางนั้นแทนตำแหน่งกึ่งกลางพอดีระหว่างปัจจัยทั้ง 2

ความหมายของ A/B ก็คือเอาความหมายของ A และ B มาผสมกัน

คราวนี้ก็ยังสิ่งที่เรียกว่า จุดไหวตัว หรือ จุดอิทธิพล ก็แล้วแต่จะเรียก เป็นการเอาดาว 3 ดวงมาผสมกัน มักจะเขียนในรูปสมการ A+B-C

ความจริง A+B ในสมการ A+B-C นั้นก็คือตำแหน่งของจุดศูนย์รังสีของ A และ B

คือเป็น (A+B)/2 ไม่ใช่ A+B เฉยๆ

(100+200)/2 กับ 100+200 เฉยๆ นี่คนล่ะตำแหน่งกันเลย

แต่เพื่อความสะดวก ย่นย่อก็เขียนเป็น A+B ก็พอจะเข้าใจกันในหมู่นักยูเรเนี่ยน โดยที่ไม่ยักกะเขียนว่า A/B-C ด้วย

ส่วน -C คือตำแหน่งของดาวอีกดวงหนึ่ง(ดวงที่ 3) ที่เอาไปสะท้อน โดยใช้ศูนย์รังสีของ A และ B เป็นแกนสะท้อน

คำว่าแกนสะท้อนในที่นี้หมายถึงใช้จุดเริ่มต้น

เริ่มต้นอะไร? ก็คือเริ่มต้นวิ่งถอยหลัง การวิ่งถอยหลังนี่คือการสะท้อน

คือเอาศูนย์รังสีของ A และ B เป็นจุดเริ่มต้นนับ 0

จากนี้ก็วัดไปหาดาว C ว่าได้กี่องศา

ไม่ว่าจะกี่องศาก็ตาม ก็ให้วัดย้อนไปอีกทางด้วยจำนวณองศาที่เท่ากัน เราก็จะได้ตำแหน่งของจุดไหวตัว A+B-C

เช่นวัดจากศูนย์รังสีของ A และ B ไปยังดาว C ได้ 100 องศา

เพราะฉะนั้นที่ตำแหน่ง -100 องศาที่เริ่มวัดจากดาวศูนย์รังสีของ A และ B นั่นแหละคือตำแหน่งของ A+B-C

โดยความหมายของ A+B-C ก็คือการผสมกันของความหมาย A B และ C เข้าด้วยกัน

โดยอาจจะแปลคู่ A+B เสียก่อน แล้วค่อยเอาความหมายของ C เข้าไปขยายอีกที

อะไรประมาณนี้ ..... ไม่งงนะ

😎

เครื่องขุดบิตคอยน์

วันก่อนคุยกันในห้องเรียนเล่นๆ ก่อนเลิกเรียนว่าถ้าการซื้อหวย เล่นหุ้น ปั่น Forex เทรดคริปโต สายลุ้นสายเก็งกำไรทั้งหลาย คือ JU/NE

แล้วถ้าอย่างนั้น "เครื่องขุดบิตคอยน์" นี่ควรจะเป็นดาวอะไร?

ความจริงไปเปิดดูเถอะ ในคัมภีร์พระคราะห์สนธิ คำว่าเครื่องขุดบิตคอยน์อะไรนี่เปิดหน้าใหนก็ไม่เจอทั้งนั้น เพราะมันเป็นของเกิดใหม่ขึ้นมาบนโลกเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง

ลักษณะอย่างนี้ถ้าจะเอาให้ได้ก็ไม่พ้นต้องสนธิดาวขึ้นมาเอง

ก็เลยตอบไปว่า JU/UR (มั๊ง)

ก็คือโชคจากไฟฟ้า เพราะเครื่องพวกนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก แทบจะแปลงค่าไฟที่ใช้ไปออกมาเป็นกำไรกันเลยทีเดียว

ถ้าจะเอาแบบ A+B-C ก็คง UR+ZE-JU (มั๊ง) เพราะลำพัง UR+ZE หมายถึงมอเตอร์ไฟฟ้า มีทั้งไฟฟ้ามีทั้งเครื่องจักรเอามาผสมกัน หรืออาจจะใช้ UR+HA-JU ก็คงจะได้(มั๊ง) เพราะ UR+HA คือไฟฟ้าซึ่งน่ารังเกียจ เพราะเครื่องพวกนี้กินไฟไม่ว่าแต่เสียงมันดังมาก รบกวนข้างบ้านจนอาจไปร้องเรียนเทศบาลกันได้ง่ายๆ ไม่ HA อย่างไรไหว

ก็คิดกันไปเรื่อยล่ะนะ ในเมื่อของมันไม่มีในตำรา ก็คิดตีความหมายกันไปตามความเข้าใจของแต่ละคน ซึ่งไม่มีผิดถูก

เพราะต่อให้ไปปลุกวิญญาณวิตเต้มาถามแกก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้เครื่องบ้านี่มันคืออะไร

คำถามต่อมาที่สำคัญก็คือ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ที่ว่าๆ มาทั้งหมดนี้มันถูกต้องใช้งานได้?

สำรับข้อนี้ตอบได้ไม่ยากเลยว่า "สถิติ" ล้วนๆ

อยากรู้ก็ต้องเก็บสถิติกันต่อไป ไม่มีอะไรมากกว่านั้นในโลกของโหราศาสตร์

Free Will (เจตจำนงเสรี) 2

เวลาไปดําน้ำสน็อกเกิ้ลดูประการัง โดยเฉพาะตามร่องน้ำต่างๆ กระแสน้ำจะพัดแรงกว่าที่อื่นๆ

ถ้าเราว่ายน้ำทวนกระแสก็จะต้องใช้แรงมาก จึงทำให้เหนื่อยมาก บางทีตีขาอยู่นานสองนานก็ยังไปไหนได้ไม่สู้ไกลนัก แต่ถ้าว่ายตามกระแสน้ำก็จะเบาแรง ตีขาไม่กี่ทีก็ไปฉิวแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ทุกคนน่าจะเข้าใจกันดี

การเลือกว่ายตามกระแสน้ำจึงดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การที่เราคอยแต่จะว่ายตามกระแสมันก็ไม่ใช่ของดีเสมอไปนัก โดยเฉพาะช่วงนี้กระแสน้ำแรงมากเป็นพิเศษ ทำให้บางทีไกด์ก็จะคอยเตือนให้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าพลาดท่าขึ้นมาก็มีหวังถูกกระแสน้ำพัดหายไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน

จังหวะจะโคน การรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ผสมผสานกันไประหว่างการผ่อนแรงตามกระแสและออกแรงทวนกระแส รวมไปถึงการเลือกทิศทางที่เหมาะสมในแต่ละช่วงจังหวะจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ผมมักอธิบายเปรียบเทียบง่ายๆว่า ดวงชะตานั้นไม่ว่าจะดวงกำเนิดหรือดวงจรก็ตาม มันก็คือแผนผังซึ่งจะแสดงกระแสในร่องน้ำที่เจ้าชะตาจะต้องลงไปแหวกว่าย

สำหรับคำถามที่ว่าทำไมกระแสในร่องน้ำจึงพัดไปทางนั้นทางนี้? หรือแม้แต่ทำไมเราจึงต้องไปว่ายวนอยู่ในร่องน้ำแห่งนั้น?

เราอาจจะตอบว่านั่นเป็นผลจากกรรมเก่าหรือกรรมจากอดีตชาติของเราก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ผมไม่รู้หรอกว่าข้อสรุปนี้มีความจริงมากน้อยขนาดไหน แต่มันก็ง่ายดีหากเราจะตัดบทสรุปไปอย่างนั้น

เพราะกรรมดีจึงได้อยู่ในร่องน้ำสวยๆ และเพราะกรรมชั่วจึงต้องมาอยู่ในร่องน้ำที่ดำมืดแล้วเชี่ยวกราก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การที่จะเราจะตัดสินใจว่ายไปทางซ้ายไปหรือทางขวา จะว่ายตามกระแสหรือว่ายทวนกระแส ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่ Free will (เจตจำนงเสรี) ของเราทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับเวรกรรมแต่อย่างใด

สมมุติเราเดินไปบนถนนแล้วเจอพอดีไปแบงค์พันตกอยู่ การได้พบแบงค์พันนั่นก็คือกระแสน้ำ คือกรรมเก่า คือดวงชะตาหรือโชคชะตาที่ชักนำให้ต้องไปพบเจอกัยเหตุการณ์เหล่านั้น

แต่การตัดสินใจว่าจะก้มเก็บหรือเดินผ่านไปเฉยๆ หรือทำในสิ่งดีหรือสิ่งชั่ว ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องของ Free will ของแต่ละคนล้วนๆ ของเก่าไม่เกี่ยว

ชีวิตจริงของคนเราจึงเป็นเรื่องของการหักลบหรือบวกเพิ่มระหว่าง ดวงชะตา(กรรมเก่า)กับ Free will(กรรมใหม่)

นี่ก็อาจจะทะลึ่งเขียนออกมาเป็นสูตรเก๋ๆ อย่างนี้ก็ได้

กรรมเก่า/กรรมใหม่ = เส้นทางของชีวิต

และถ้าเรายึดเอาตามหลักการที่กล่าวมาแล้วนี้มาเป็นคำอธิบาย ดังนั้นสำหรับเรื่องที่ว่า "ดวงโจรก็ต้องเป็นโจรจะเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่" นั้น ก็ต้องบอกว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ดวงโจรไม่เป็นโจรก็ได้ เป็นอย่างอื่นที่ดีกว่านั้นแทนก็ย่อมได้

เพราะถึงดวงโจรก็มี Free Will

มีอิสระที่เลือกทำกรรมดีกรรมเลว

เพราะที่ว่าดวงโจรนั้น ก็คือกระแสในร่องน้ำ คือแรงผลักดันเกื้อหนุนจากกรรมเก่า หากเผลอไม่รู้เท่าทันมันก็ย่อมพัดพาเราไปได้ใกลถึงไหนต่อไหน และมันก็ง่ายกว่าด้วยที่จะว่ายตามกระแส

แต่ก็ใช่ว่าจะว่ายทวนไม่ได้

เพราะเราทุกคนล้วนมี Free will มีสติ มีปัญญา มีความสามารถในการรู้จักดีชั่ว มีอิสระในการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ

แม้จะเป็นอิสระในกรอบหรือขอบเขตอันหนึ่งก็ตาม

Free will (เจตจำนงเสรี)

คำว่า Free will นั้นภาษาไทยเรามักใช้คำว่า "เจตจำนงเสรี" หมายถึงความสามารถในการเลือกกระทำสิ่งหนึ่งจากการกระทำต่างๆ ที่เป็นไปได้ โดยที่ไม่ถูกบังคับ

เช่นเราเดินไปบนถนน เจอแบงค์พันตกอยู่ เราย่อมมีความสามารถในการเลือกได้อย่างอิสระว่าจะก้มลงไปเก็บ หรือจะเดินผ่านไปเฉยๆ และถ้าก้มเก็บแล้วจะเอาเงินตรงนั้นไปตามหาเจ้าของที่แท้จริงของมันหรือจะเก็บเข้ากระเป๋าไว้ใช้เอง

ไม่ว่าจะเลือกทางใด ทั้งหมดนี้คือ Free will หรือ เจตจำนงเสรี ของเรา

ความจริง Free will เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกวันนี้ในแวดวงจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ ปรัชญา ตลอดจนไปถึงประสาทวิทยา ก็ยังคงถกเถียงกันไม่จบว่าแท้จริงแล้วเรามี Free will หรือไม่

เรื่องทางวิชาการอย่างนั้นคงต้องถกเถียงกันต่อไปอีกยาว แต่โดยเบื้องต้นแล้วของตัดบทสรุปง่ายๆ ว่า "มี" ก็แล้วกัน เพราะชุดความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตมากกว่า เพียงแต่ในความเป็นจริงนั้น Free will ของแต่ละคนอาจไม่ได้อยู่ในปริมาณที่เข้มข้นตลอดเวลา

บางช่วงเวลาเราก็มี Free will เต็มที่ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ และแต่ปัจจัยแวดล้อม โดนในสถานการณ์ทั่วไป เรามี Free will เอาไว้ใช้กันทุกคนแน่นอน

แล้ว Free will มาเกี่ยวอะไรกับโหราศาสตร์?

เกี่ยวแน่นอน ในเมื่อหลักการคลาสสิกของวิชาโหราศาสตร์นั้นระบุว่า

"สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏในดวงชะตา โดยเฉพาะในดวงชะตากำเนิดนั้น ย่อมต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเจ้าชะตาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้"

หลักการพื้นฐานอย่างนี้เองที่ทำให้เกิดชุดความคิดทำนองดวงชะตาคือลิขิตของชีวิต ซึ่งดูจะขัดแย้งกับเรื่องของ Free will อย่างสุดโต่งเลยทีเดียว

ว่ากันอย่างง่ายๆ คือ เกิดมาดวงโจรก็ต้องเป็นโจร จะเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่

ฟังแล้วหดหู่ชมัด

😅

(ยังมีต่อ)


:)

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2564

วาสนา และ กรรม

มีบางท่านถามว่า เหตุใด “วาสนา” จึงเป็นลัคนา และ “กรรม” จึงเป็นเมอริเดียน? ก็ขอตอบอย่างนี้ว่า 

สำหรับเมอริเดียน หรือจุดจอมฟ้า หรือ ทศมลัคน์ นั้นเชื่อถือกันมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นจุดกรรมเก่า ตามหลักเรือนชะตาจุดเมอริเดียนก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนชะตาที่ 10 ที่มีชื่อว่ากัมมะ หรือก็คือกรรมนั่นเอง 

หลักการอย่างนี้เชื่อถือกันมาตั้งแต่โหราศาสตร์อินเดีย ผมเข้าใจเอาเองว่าแนวคิดอย่างนี้โหราจารย์ยูเรเนี่ยนน่ารับอิทธิพลมาจากโหราศาสตร์อินเดียอีกที เพราะเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ค่อยปรากฏอยู่ในความคิดของคนตะวันตก(อย่าลืมว่ายูเรเนียนนั้นเกิดที่เยอรมัน) แต่จะมีมาตั้งแต่เริ่มแรกหรือรับเพิ่งรับกันมาในรุ่นหลังหลังอันนี้ก็สุดปัญญาจะตอบได้ 

สำหรับลัคนานั้น ดยเบื้องต้นยูเรเนียนโให้คำนิยามว่า “สิ่งแวดล้อมใกล้ชิดซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าชะตาโดยตรง” ความจริงเพียงแค่ความหมายตรงนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุใดลัคนาจึงหมายถึงวาสนา

ลองนึกถึงคนที่เกิดมาในสังคมเมืองใหญ่ในครอบครัวมั่งคั่งมีชีวิตสมบูรณ์พร้อมและสุขสบาย แล้วก็นึกถึงอีกคนหนึ่งซึ่งโตมาในสังคมบ้านป่าเมืองเถื่อน 

เฉพาะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างนี้ก็คงเพียงพอแล้วอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้ความคิดความอ่านและบุคลิกภาพของคนทั้ง 2 นี้มีความแตกต่างกัน ดังนั้นโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จตามที่คิดหวัง แม้แต่จริตกิริยามารยาท หรือปัญญาซึ่งเกิดจากการได้รับการศึกษาก็ย่อมแตกต่างกันได้มากทีเดียว 

ก็นี่แหละคือวาสนาของคนที่แตกต่างกัน 

สรุปคือสิ่งแวดล้อมดีก็คือเกิดมาวาสนาดี สิ่งแวดล้อมแย่ก็คือเกิดมาด้วยวาสนา 

ก็ขอจบง่ายๆอย่างนี้แหละ


วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ค่าวังกะของ Reinhold Ebertin

โดยมาตรฐาน ยูเรเนี่ยนใช้ค่าวังกะสำหรับปัจจัยเดี่ยวและศูนย์รังสี = 1 องศา 

และลดลงเหลือ 0.5 องศาในมุมเล็ก (มุมในกลุ่ม 22:30 องศา)

แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติจริงก็มักมีการอนุโลมให้ใช้ค่าวังกะได้มากกว่านี้ในหลายๆ กรณี (ค่าวังกะที่แคบให้ผลชัดเจน แต่บางทีก็ทำให้มีดาวสำหรับการอ่านดวงน้อย ไม่พอสำหรับการให้คำตอบ)

สำหรับค่าวังกะต่อไปนี้ เป็นค่าที่ถูกกำหนดโดย Reinhold Ebertin เจ้าสำนัก Cosmo-Biology ซึ่งเป็นศิษย์เก่าสำนักยูเรเนี่ยนแล้วแยกตัวออกไป โดยดึงเอาหลักการหลายอย่างของโหราศาสตร์สากลที่ยูเรเนี่ยนยกเลิกไปแล้วกับมาใช้ใหม่

โดยค่าวังกะเหล่านี้ใช้สำหรับอ่านดาวเดี่ยวต่อดาวเดี่ยวเท่านั้น ประกอบไปด้วย

--------------------------------

จุดเจ้าชะตา MC AS SU MO NO = 5 องศา

ดาวเคลื่อนที่เร็ว ME VE MA = 4 องศา

ดาวเคลื่อนที่ช้า JU SA UR NE PL = 3 องศา

--------------------------------

สังเกตว่าไม่มีดาวทรานเนปจูน เพราะสำนัก Cosmo-Biology ตัดทรานเนปจูนออกจากระบบของตนเอง โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าทรานเนปจูนเดินช้ามาก ควรใช้ค่าวังกะเพียง 2-1 องศาก็พอ

จำง่ายๆว่า 543 ครับ เรียงจากจุดเจ้าชะตา เดินเร็ว แล้วก็เดินช้า

โดยส่วนตัวแล้วผมใช้ค่าวังกะ 1 องศาเป็นหลักตามมาตรฐานของยูเรเนี่ยน แต่ถ้ามีดาวอ่านได้น้อย หรือมีดาวที่น่าสนใจอยู่ในระยะที่เกินไปซักนิด ก็ค่อยอนุโลมใช้ค่าวังกะที่มากขึ้น


:)

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เรียนยูเรเนี่ยน เริ่มอย่างไรดี?

 

ถามว่าจะเริ่มเรียนยูเรเนี่ยน ควรเริ่มต้นอย่างไรดี? 

ขอตอบด้วยความจริงใจว่า ไปหัดท่องจำความหมายของ 22 ปัจจัยมาให้ได้ก่อน รวมถึงฝึกเขียนสัญลักษณ์ของปัจจัยทั้งหมดให้คล่องมือด้วย

ถ้าตรงนี้ยังไม่ได้ บอกตรงๆ อย่างเพิ่งไปเสียตังเรียนที่ไหน เพราะจะไปได้ช้า เสียเวลา ดีไม่ดีเจอคนสอนเร็วๆ จะเรียนไม่รู้เรื่องตามคนอื่นไม่ทัน

แต่ถ้าได้ตรงนี้ก่อนเป็นพื้น การเรียนยูเรเนี่ยนก็จะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะยูเรเนี่ยนนั้น วันๆ จะอยู่แต่กับสิ่งที่เรียกว่าภาษาดาว ไม่รู้ว่าดาวไหนแปลว่าอะไรได้บ้างก็ไปไม่รอด

และถ้าเป็นไปได้ ขอให้ฝึกเอาความหมายปัจจัย 2 ตัวมาผสมกันเหมือนเกมส์ผสมคำ ยิ่งคล่องตรงนี้จะยิ่งไปเร็วมาก

พื้นฐานพวกนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก และควรฝึกกันเองที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาในห้องเรียน

ดวง Return

 

ดวง Return ก็คือดวงครบรอบ หมายถึงปัจจัยหนึ่งบนท้องฟ้าโคจรกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมในดวงกำเนิด

เช่นดวง Solar Return ก็คือดวงอาทิตย์ครบรอบ อาทิตย์จรบนฟ้ากลับมาอยู่ในตำแหน่ง(องศา/ลิปดา)เดียวกับอาทิตย์ในดวงกำเนิดอีกครั้ง หรือ Lunar Return ก็คือดวงจันทร์ครบรอบ จันทร์จรบนฟ้ากลับมาอยู่ในตำแหน่ง(องศา/ลิปดา)เดียวกับจันทร์ในดวงกำเนิดอีกครั้ง เช่นนี้เป็นต้น

ดวง Solar Return ใช้ในการอ่านเหตุการณ์จากรอบ Return นี้ไปถึง Return ต่อไป ก็ตกประมาณปีนึงพอดีเพราะอาทิตย์จรรอบจักราศีหนึ่งรอบก็ 1 ปีพอดี ส่วน Lunar Return ใช้อ่านเหตุการณ์รายเดือน

ความจริงนอกจาก Solar และ Lunar Return เรายังอาจจะสร้างดวงอะไรต่อมิอะไร Return ได้อีกมากมาย เช่น Meridian Return (หรือ Ascendant Return) สำหรับพิจารนารอบรายวัน Venus Return ตามรอบดาวศุกร์เพื่อดูจังหวะความรักตามรอบโคจรของดาวศุกร์ซึ่งกินเวลาประมาณรอบละเกือบปี หรือ Jupiter Return เพื่อดูราย 12 ปี เช่นนี้เป็นต้น

การตั้งดวง Return นี้โดยมากใช้โปรแกรมหาเอา สำหรับการตั้ง Solar และ Lunar Return นั้นไม่ยากเพราะโปรแกรมส่วนมากจะมีคำสั่งในการหาไว้บริการพร้อม ส่วนการหา Return อื่นๆ อาจใช้วิธีค่อยๆ กดเลื่อนเวลาจรไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เวลาที่ปัจจัยจรมีองศาลิปดาเท่ากับปัจจัยกำเนิดพอดี

สำหรับการอ่านดวง Return นั้นไม่ยุ่งยาก เพราะใช้วิธีการอ่านโดยไม่ต้องอ้างอิงถึงดวงกำเนิดเสียธีเดียว วิธีการอย่างนี้ความจริงก็คือการอ่านดวงแบบ Horary (กาลชะตา) อย่างหนึ่ง บางอาจารย์ให้ข้อสรุปว่าดวง Return นี้ก็คือดวงกำเนิดอย่างหนึ่ง แต่เป็นดวงกำเนิดที่มีอายุใช้งานจำกัดตามรอบของปัจจัยนั้นๆ (รายปี รายเดือน รายวัน อะไรก็ว่ากันไปแล้วแต่อะไร Return) การอ่านจึงสามารถทำได้เหมือนกับอ่านดวงกำเนิดทุกประการ

แต่ถ้าจะอ่านโดยเทียบกับดวงกำเนิดด้วยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด โดยมากมักให้ความสำคัญเฉพาะปัจจัยที่มันกุม เล็ง หรือฉากพอดี หรือจะลงรายละเอียดกันไปมากกว่านี้ก็คงแล้วแต่สไตล์การอ่านดวงของแต่ละคน

จังหวะ Return นี้อาจารย์บางท่านว่าน่าสนใจกว่า(ดีกว่า)การอ่านดวงกำเนิดเทียบจังหวะฟ้าทั่วไป (เช่น Newmoon Fullmoon หรือดวงสงการนต์ทั้ง4) เพราะถือว่าเป็นจังหวะสำคัญที่มีความ “เฉพาะ” สำหรับตัวเจ้าชะตามากกว่า


:)

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Mass and Astrology

ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งให้ดวงคนเป็นโควิดมาหลายวันแล้วยังไม่ได้ดูเลย ช่วงนี้มีเรื่องให้ทำยุ่งๆ จนลืมไปเลย พอวันนี้นึกได้มานั่งดู ก็เลยนึกถึงประเด็นที่เคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ ว่า จริงๆแล้วโหราศาสตร์นั้นไม่ชอบความ "Mass" หรือจำนวนมากๆ เพราะมันจะ Error 

คือโหราศาสตร์นั้น ธรรมชาติของมันคือความเป็นปัจเจก ตั้งดวงของคนๆ นึงขึ้นมานั่งดูกันไปจะดีร้ายก็ว่ากัน แล้วก็จบกันไปดวงต่อไปต่างกรรมต่างวาระก็เข้ามาแทน

แต่ในบางเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นจำนวนมากๆ และพร้อมๆ กัน ลักษณะแบบนี้ถ้ามองเชิงสถิตด้วยโหราศาสตร์ก็จะเกิดปัญหา

เช่นเหตุการณ์ซึนามิ 2547 ในช่วงเวลาเดียวกันมีคนตายสองแสนกว่าคน เฉพาะแค่ประเทศไทยก็ประมานแปดพันกว่า

คำถามก็คือเอาดวงของคนทั้งแปดพันกว่าคนนั้นมาผูกดวงดู จะเป็นดวงที่เข้าเกณฑ์ถึงฆาตตามหลักโหราศาสตร์จะมีซักกี่ % ? แต่ที่แน่ๆ คือจะให้ตรงเกณฑ์ทั้ง 100% ก็คงไม่ใช่

เรื่องดวงคนเป็นโควิดนี่ก็คงทำนองเดียวกัน ตอนนี้ใกล้ๆ หน่อยก็ที่อินเดีย แหล่งกำเนิดวิชาโหราศาสตร์นิรายนะที่เราใช้ๆ กันอยู่นี่แหละ ยอดก็หลักล้าน ตายกันจนเผาไม่ไหวไม้ฟืนแทบหมดประเทศ ถ้าเอาดวงคนเหล่านั้นทุกคนมาพิจารนาดู จะพบเกณฑ์เจ็บป่วยในโครงสร้างเดียวกันหรือทิศทางเดียวกันหมดหรือไม่? (เรียกง่ายๆว่าเกณฑ์โควิดก็แล้วกัน ไม่ว่ามันจะมีลักษณะอย่างไรก็ตาม) ก็ไม่น่าจะได้อีก -_-

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งมาคิดสงสัยกัน แต่ปรากฏว่าโหราจารย์ตั้งสมัยก่อนก็คิดกันมามากแล้ว 

วิชายูเรเนี่ยนนั้นเกิดเมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่คนมีคนตายอย่างมากมายมหาศาลเช่นกัน ยูเรเนี่ยนจึงตอบคำถามนี้ด้วยจุดเมษ(AR) โดยนิยามเมษว่าคือโลกใบนี้ หรือภูมิลำเนาที่เราอยู่อาศัย แล้วให้จุดเมษเป็นจุดเจ้าชะจุดหนึ่งใน 6 จุด ดังนั้นเมื่อมีดาวจรอะไรมาเข้าเมษก็หมายถึงโดนกันหมดทั้งโลก หรืออย่างน้อยก็ในภูมิภาคนั้นๆ เพราะคนทุกคนย่อมมีจุดเมษในดวงกำเนิดอยู่ตำแหน่งเดียวกันหมด

แล้วค่อยไปแยกย่อยกันที่จุดเจ้าชะตาอื่นๆ ทีเพื่อหาข้อสรุปว่าทำไมจึงตายหรือไม่ตายเป็นรายคนไป เช่นนี้เป็นต้น ซึ่งก็เชื่อเถอะ มันก็ไม่ได้ตอบคำถามได้ทั้ง 100% หรอกแต่ก็ยังดีกว่ายืนงงอยู่ในดงตำราเยอะ

เรื่องนี้ความจริงไม่มีอะไรนะ บ่นให้ฟังเฉยๆ 55555 มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องค้นคว้าต่อไป การเรียนโหราศาสตร์มันก็สนุกอยู่ตรงนี้


 ปล. ภาพดวงซึนามิปี 2547