วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยววิชาโหราศาสตร์ (3)

1. จากแนวเส้นวระวิมรรค ได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 12 ส่วน (ส่วนละ 30 องศา) แต่ละส่วนมีดาวฤกษ์ใดประจำพื้นที่อยู่ก็เรียกชื่อไปตามนั้น เราเรียกพื้นที่ทั้ง 12 นี้ว่าราศี

2. จุดเริ่มต้นในการนับระยะทางบนเส้นระวิมรรคจะอยู่ที่ราศีเมษ จากนั้นก็ไล่ลำดับไปยังพฤษภ มีน กรกฏ สิงห์ กันย์ ตุล พิจิก ธนู มกร กุมภ์ มีน

3. เมื่อดาวดวงใด(เช่นอาทิตย์ จันทร์ เนปจูน) เคลื่อนที่ไปตามแนวระวิมรรค อยู่ในตำแหน่งเท่าใดก็เรียกขานตำแหน่งไปตามราศีนั้นๆ เช่นดาวอาทิตย์อยู่ราศีกรกฏ 15 องศา 5 ลิปดา ก็หมายความว่าขณะนี้ดวงอาทิตย์ได้อยู่ในตำแหน่ง 15 องศา 5 ลิปดา โดยเริ่มนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของราศีกรกฏ (คือ 115 องศา 5 ลิปดา เมื่อนับจากเส้นวงระวิมรรคทั้งวง)

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

การอ่านไพ่ Tarot

การถอดรหัสความหมายจากไพ่ Tarot นั้นโดยทั่วไปแบ่งสองวิธีการด้วยกัน

วิธีการแรกก็คือการแปลความหมายไปตามความหมายมาตรฐานที่ระบุเอาไว้ตามตำราต่างๆ เช่นถ้าเปิดไพ่ 2 pentacles ขึ้นมาก็จะอ่านความหมายไปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความมั่นคงยิ่งขึ้น การขยายเพิ่มจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง การมีโครงการหลายอย่างแต่กับไม่ลงมือทำออะไรเลย วิธีการดำเนินการที่ยังไม่สมบูรณ์ ข่าวลือ การถูกโจมตี การเชื่อถือไม่ได้ อะไรทำนองนี้เป็นต้น (จะเลือกทายด้วยความหมายอย่างไรก็แล้วแต่ดุลพินิจของผู้ทาย)

ข้อดีของการทำนายแบบนี้คือความมีมาตรฐาน ไพ่ออกมาเป็นหน้าใหนก็ทายไปอย่างนั้น ต่อให้เปลี่ยนสำรับไพ่ซึ่งอาจจะมีรูปภาพไม่เหมือนกัน(สำหรับไพ่หน้าเดียวกัน)ก็ยังสามารถทายความหมายได้อย่างแน่นอนเสมอ

ส่วนข้อเสียก็คือการที่ต้องพยายามจำหน้าไพ่ให้ได้ทั้งหมดทั้งความหมายในแง่ดีและเสียซึ่งเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสพอสมควร(บางคนต้องจำต่อไปอีกว่าไพ่กลับหัวนั้นมีความหมายอย่างไร)
อีกวิธีการหนึ่งก็คือการทายไปตามความรู้สึกแวบแรกเมื่อเปิดไพ่ขึ้นมา วิธีการแบบนี้เรียกว่าเป็นการอาศัยการสื่อสารระหว่างภาพในหน้าไพ่กับจิตใจของผู้ถอดรหัสความหมายไพ่โดยตรง เมื่อเห็นไพ่แล้วรู้สึกอย่างไรกับภาพบนหน้าไพ่ก็ทำนายไปอย่างนั้น(แล้วแต่ว่าคำถามจะเป็นเรื่องอะไร)

แน่นอนว่าวิธีการนี้สะดวกกว่ามาก (และก็ให้ผลการทำนายเป็นที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก) เพราะไม่ต้องเสียเวลาจำความหมายไพ่ให้หนักสมอง คำทำนายไม่ทื่อตายตัว สามารถพลิกแพลงคำทำนายได้ตามคำถามที่ได้รับอย่างเต็มที่ (ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสัญชาติญาณของแต่ละคนด้วย)

แต่ปัญหาของการทำนายแบบนี้มันอยู่ตรงที่ว่า สำหรับหน้าไพ่เดียวกันแต่ถ้าไพ่ต่างสำรับกัน มีภาพวาดบนหน้าที่แตกต่างกันจะอาจจะให้คำทำนาย (ต่อคำถามเดียวกัน) ไปคนล่ะทางกันได้ง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่น 2 pentacles ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว



หน้าไพ่ 2 pentacles โดยทั่วไปมักจะวาดเป็นชายถือเหรียญสองเหรียญ โดยมีสัญลักอินฟินิตี้ และฉากหลังเป็นรูปคลื่นทะเลเพื่อสื่อความหมายถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน ตามความหมายมาตรฐานของมัน

แต่ไพ่สำรับอื่นๆ ก็อาจจะไม่ได้มีลักษณะแบบนี้เช่นภาพที่นำเอามาเป็นภาพประกอบนี้


ทีนี้สมมุติว่ามีคนตั้งคำถามว่าการเงินจะเป็นอย่างไร แล้วหยิบได้ไพ่ 2 pentacles ตามในรูปนี้ขึ้นมา
หากเราใช้การให้ความหมายแบบมาตรฐานเราก็อาจจะทำนายไปได้ว่าการเงินนั้นยังไม่แน่นอน อาจจะต้องมีเรื่องต้องหมุนเงินกันวุ่นวาย แต่อย่างไรเสียก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ อะไรทำนองอย่างนี้

แต่ถ้าเราทำนายแบบอ่านด้วยหน้าไพ่อย่างเดียว สำหรับหน้าไพ่นี้จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรชวนให้พูดถึงการหมุนเงินเอาเสียเลย แต่อาจจะพูดได้ว่าการเงินนั้นจำเป็นต้องคิดหนัก คิดให้รอบคอบ อย่าผลีผลาม บางทีเราอาจจะต้องพบการการต้องเลือกซึ่งจะต้องอาศัยความไตร่ตรองและมีสติเป็นอย่างมาก (เพราะดูคนในรูปจะคิดหนักเหลือเกินกับเหรียญทั้งสองบนโต๊ะ)

ยิ่งเจอกับหน้าไพ่ที่รูปแตกต่างออกไป(แล้วแต่ศิลปะจะคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา)ก็ยิ่งทำให้คำทำนายแตกกระจายออกไปเป็นอีกมาก เรียกว่าแม้แต่การเลือกหยิบไพ่ชุดใดขึ้นมาใช้งานก็มีผลต่อคำทำนายตั้งแต่แรกเลยทีเดียว

แล้ววิธีการใดจะดีกว่ากัน?

ก็ต้องแล้วแต่จริตกับความถนัดของนักถอดรหัสคำทำนายแต่ล่ะคนครับ

Queen of Swords



โดยทั่วไปไพ่ใบนี้หมายถึงตัวบุคคล ... ซึ่งหมายถึงผู้หญิงที่เก่งกล้าสามารถ (เป็นราชนีที่มือถือดาบจะไม่เก่งกล้าสามารถได้อย่างไร) มีความก้าวร้าว หยิ่งทะนง หัวรั้น ตรงไปตรงมา มีอำนาจ มีลักษณะเป็นนักปกครองที่เข้มเข็งซึ่งเป็นสัญชาติญาณของดาบโดยแท้

ดาบยังเป็นสัญลักษณ์ของการได้รับความเคารพ(มีอำนาจ) ดังนั้นคนที่ได้ไพ่ใบนี้เป็นไพ่ประจำตัวจึงเป็นคนที่มีอำนาจ มีคนให้ความเคารพยำเกรง

ถ้าเป็นผู้ชายไพ่จะหมายถึงคนที่จู้จี้จุกจิก เก็บรายละเอียด ไม่ผ่อนปรนกับสิ่งเล็กๆ น้อย(นิสัยผู้หญิง)
ในแง่ของงาน ไพ่ใบนี้บอกถึงการประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง แต่ความสำเร็จนั้นก็ตามมาด้วยอุปสรรค เรื่องชวนปวดหัวมากมาย ราชินีจึงไม่สามารถวางใจที่จะวางดาบของเธอลงได้แม้กระทั่งเวลานั่งพัก ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามามักเป็นปัญหาจุกจิก หยุมหยิม เล็กๆ น้อยๆ (ธรรมชาติของฝ่ายหญิง) มากกว่าปัญหาใหญ่โตอะไร

ความรักความสัมพันธ์นั้นหมายถึงการมีปากเสียง ทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอยกัน อันเป็นธรรมชาติของดาบ

ส่วนเรื่องสุขนั้นบ่งบอกถึงปัญหาอันเกี่ยวข้องกับความคิด ความเครียด ความวิตกกังวล อาการนอนไม่หลับ

Question

"การตั้งคำถามคือกุญแจของคำทำนาย"



ศิลปะการทำนายอนาคตนั้น โดยทั่วๆ ไปก็จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของการคำนวณรหัสตัวเลข กับศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของการเสี่ยงทาย

สำหรับศาสตร์การเสี่ยงทาย(เช่นไพ่ tarot หรือการเสี่ยงทางเหรียญอี้จิง) นั้น จะอาศัยคำถามเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะมีคำถามจึงมีการเสี่ยงทางเพื่อค้นหาคำตอบ ดังนั้นประสิทธิภาพของการทำนายด้วยศาสตร์เหล่านี้จึงขึ้นอยู่กับความฉลาดในการตั้งคำถาม ยิ่งตั้งคำถามได้สร้างสรรค์เท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับคำตอบที่สร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น

แต่บางครั้งก็ไม่รู้จะเริ่มถามอะไรก่อนดี ในที่สุดจึงมีการคิดสูตรของการถามขึ้นมาเป็นชุดคำถามสำเร็จรูป ซึ่งช่วยให้การทำนายมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือสูตรในการวางหน้าไพ่แบบต่างๆ ของการทำนายไพ่ Tarot (เช่น Celtic Cross Spread, Round Spread, Horseshoe Spread เป็นต้น)

แต่ถ้ามีคำถามที่ชัดเจน มีการจัดลำดับคำถามที่ดี (มีสูตรคำถามเฉพาะตัว) สูตรสำเร็จรูปพวกนี้ก็ไม่จำเป็น
ส่วนพวกศาสตร์การคำนวน (เช่นโหราศาสตร์ไทย, โหราศาสตรสากล, ยูเรเนี่ยน หรืออื่นๆ) นั้นแตกต่างออกไป เพราะอาศัยการอ่านปัจจัยและความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ค้นพบได้ในดวงชะตา ดังนั้นศาสตร์เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกับการอ่านแผนที่ของชีวิต เมื่อพบจุดเด่นจุดสังเกตในเรื่องใดก็สามารถอ่านคำทำนายออกมาได้เรื่อยๆ

หากมีคำถาม หรือต้องการทราบเรื่องใดโดยเฉพาะ ก็ค่อยตรวจดูปัจจัยที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นโดยเฉพาะเจาะจงอีกที (เช่นเรือนชะตา สูตรดาวเข้ารูป หรือดาวจร)

เรียกว่ามีเอกลักษณ์ไปคนล่ะอย่าง แต่จุดมุ่งหมาย และการไปให้ถึงเป้าหมายนั้นไม่แตกต่างกันนัก

ความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยววิชาโหราศาสตร์ (2)

1. คราวนี้เราย้ายออกไปยืนที่นอกโลก แล้วมองกลับยังโลกของเราๆ จะมองเห็นโลกเป็นลูกกลมๆ แป้นเล็กน้อย (มีรัศมี 6371 กม.)

2. สมมุติว่าเส้นรวิมรรคเป็นเส้นระนาบพื้น เราจะพบว่าโลกของเราวางเอียงเล็กน้อยประมาณ 23.5 องศาเมื่อเทียบกับระนาบของเส้นวงรวิมรรค

3. ดังนั้นเส้นศูนย์สูตรของโลกจึงเอียง ไม่ได้อยู่ในมุมระนาบเดียวกับเส้นรวิมรรค และถ้าเราขยายแนวเส้นศูนย์สูตรออกไปให้มีขนาดเดียวกับเส้นรวิมรรค เราจะได้เส้นสมมุติที่เรียกว่า "เส้นศูนย์สูตรฟ้า"



4. จุดที่เส้นศูนย์สูตรฟ้าและรวิมรรควิ่งตัดกันเรียกว่าจุด "วิษุวัต" หรือ อีควินอกซ์ (equinox) ซึ่งจะมีสองจุดด้วยกัน (สองจุดนี้อยู่ตรงข้ามกันพอดี)

5. จุดแรกเรียก "วสันตวิษุวัต" (vernal or spring equinox) อีกจุดเรียก "ศารทวิษุวัต" (autumnal equinox)

6. วันที่เกิดตำแหน่งวิษุวัตทั้งสองนี้จะมีกลางวันและกลางคือเท่ากันพอดี

7. วันที่ดาวอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง วสันตวิษุวัต ถือว่าวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ (จะว่าเป็นวันปีใหม่ของโหราศาสตร์ก็ได้)

8. ส่วนวันที่ดาวอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง ศารทวิษุวัต ถือว่าวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วง

9. ถ้าสมมุติว่า วสันตวิษุวัต อยู่ด้านหน้าของโลกส่วน ศารทวิษุวัต อยู่ด้านหลัง ที่ด้านซ้ายของโลกจะเกิดตำแหน่ง "ศริษมายัน" (summer solstice) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เส้นวง รวิมรรค และ เส้นศูนย์สูตรฟ้า ห้างกันมากที่สุดโดยเส้น รวิมรรค จะอยู่ด้านบน

10. วันที่ดาวอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง ศริษมายัน ถือว่าวันเริ่มต้นของฤดูร้อน

11. ส่วนด้านขวาของโลกจะเกิดตำแหน่ง "เหมายัน" (winter solstice) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เส้นวง รวิมรรค และ เส้นศูนย์สูตรฟ้า ห้างกันมากที่สุดเช่นกัน โดยเส้น รวิมรรค จะอยู่ด้านล่าง

12. วันที่ดาวอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง เหมายัน ถือว่าวันเริ่มต้นของฤดูหนาว

13. เรื่องฤดูกาลที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฤดูกาลของท้องถิ่น (เช่นประเทศไทยไม่มีฤดูหนาว มีแต่ฤดูร้อนมากกับร้อนน้อย) แต่เป็นฤดูกาลของโลก ซึ่งบอกถึงตำแหน่งและระยะทางที่โลกกับดวงอาทิตย์มีต่อกัน


ความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยววิชาโหราศาสตร์ (1)

1. วิชาโหราศาสตร์หมายถึงวิชาการทำนายที่ว่าด้วยเรื่องของตำแหน่งดวงดาว หรือพิกัดบนท้องฟ้าที่เชื่อกันว่าส่งผลมากระทำบางอย่างกับผู้คนบนโลก

2. สำนักโหราศาสตร์โดยทั่วไปเชื่อว่าดวงดาวหรือปัจจัยบนท้องฟ้าส่งผลมายังโลก ทำให้โลกเกิดเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมา ส่วนบางสำนักเชื่อว่าดวงดาวหรือปัจจัยนั้นส่งผลมายังจิตใจหรือบุคลิกของคน จากนั้นคนจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น

3. ทุกสำนักโหราศาสตร์ใช้โลกเป็นจุดศูนย์กลางเสมอ แม้ทุกวันนี้เราจะประจักษ์แจ้งแล้วว่าโลกไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล

4. เหตุที่ใช้โลกเป็นศูนย์กลางด้วยเหตุผลว่าโหราศาสตร์นั้นว่าด้วยเรื่องของอิธิพลจากดวงดาวต่างๆ ที่จะส่งมายังโลก ดังนั้นจึงใช้โลกเป็นจุดเริ่มต้นในการสังเกตตำแหน่งต่างๆ



5. ถ้าเรายืนบนที่โล่งๆ โดยหันหน้าไปยังทิศตะวันออกพอดิบพอดี ซ้ายมือของเราจะเป็นทิศเหนือ ขวามือจะเป็นทิศใต้ ส่วนข้างหลังคือทิศตะวันตก เส้นตรงที่สุดสายเมื่อเรามองไปรอบๆ เรียกว่า "เส้นขอบฟ้า"

6. หากเราวาดเส้นโค้งเป็นวงขึ้นไปฟ้าจากสุดขอบฟ้าทางด้านเหนือ แล้วไปจบลงที่สุดขอบฟ้าด้านตะวันตก โดยให้แนวเส้นครึ่งวงกลมนี้ตั้งฉากกับพื้นโลกพอดี เราจะได้แนวเส้น(ระนาบ) "เมอริเดียน"

7. ตำแหน่งตรงหัวเราพอดี (คือลากเส้นตรงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าจนไปชนกับแนวเส้นโค้งเมริเดียน) เรียกเรียกว่า "เซนิท" ส่วนตำแหน่งตรงข้ามที่ทะลุลงไปในดินตรงใต้เท้าของเราเรียกว่า "เนเดอร์"

8. เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นตัดกับขอบฟ้า(ระยะสุดสายตา)เบื้องหน้าของเรา เราเรียกจุดตัดระหว่างดวงอาทิตย์กับเส้นขอบฟ้านั้นว่า จุด "ลัคนา" หรือ เอสเซนเดนท์

9. เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าแล้ว ก็จะโคจรเป็นเส้นวงโค้งขึ้นไปจนในที่สุดก็วิ่งหายพ้นขอบฟ้าทางด้านตะวันตก(คือด้านหลังของเรา) เส้นทางที่พระอาทิตย์วิ่งนี้เรียกว่า "รวิมรรค" หรือ สุริยวิถี

10. แต่เนื่องจากแกนโลกนั้นเอียงเล็กน้อย ประมาณ 23.5 องศา (เมื่อเทียบกับเส้นโคจรรอบดวงอาทิตย์) ดังนั้นเส้นรวิมวรรคจึงไม่ได้ตั้งฉากกับพื้น แต่จะเอียงเล็กน้อยหากเล็งเทียบกับเส้นแกน เซนิท/เนเดอร์

11. ตำแหน่งเที่ยงวันเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นถึงจุดสูงสุดของวงโคจรเรียกว่าตำแหน่ง "มิดเฮเวนท์" หรือ กึ่งกลางสวรรค์

12. พระอาทิตย์โคจรไปตามแนวรวิมรรค 1 รอบใช้เวลา 24 ชม. หรือคิดเป็น 4 นาทีต่อ 1 องศา (วัดองศาจากตำแหน่งที่เรายืนอยู่)

ทั้งหมดนี้คือว่าด้วยเรื่องของการสังเกตจากพื้นโลก โดยใช้ตำแหน่งที่เรายืนอยู่เป็นตำแหน่งสังเกตการณ์ครับ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

จักรราศี (ในโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน)

คำว่าจักรราศีในทางโหราศาสตร์หมายถึงท้องฟ้าหรืออวกาศสมมุติในระนาบ 2 มิติ โดยจักรราศีจะถูกเขียนขึ้นมารูปของวงกลม จุดศูนย์กลางของวงกลมคือจุดสมมุติว่าเป็นตำแหน่งที่เรายืนสังเกตดวงดาว
จากนั้นก็จะทำการวงกลมของจักรราศรออกเป็น 12 ส่วน แต่ละส่วนมีระยะ 30 องศา (ซึ่ง 1 องศาแตกออกเป็น 60 ลิปดา) โดยเรียกแต่ละส่วนว่า “ราศี” แล้วกำหนดชื่อให้กับแต่ละราศีว่า

ชนิดของโหราศาตร์

วิชาโหราศาสตร์นั้นโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน



1. วิชาโหราศาสตร์ที่ว่าด้วยการคำนวณตำแหน่งของดวงดาว หรือตัวเลข เช่นโหราศาสตร์ไทย โหราศาสตร์สากล ยูเรเนี่ยน หรือเลขเจ็ดตัว วิชาโหราศาสตร์พวกนี้อาศัยความสามารถในการคำนวณค่าทางตัวเลขตามพิกัดต่างๆ แล้วค่อยเอามาถอดรหัสตีความหมายออกมาเป็นคำทำนาย ข้อเสียก็คือความยุ่งยาก แต่ข้อดีคือความมั่นคงของหลักวิชา เราสามารถที่จะคำนวณหาผลที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ทั้งไปหน้า(อนาคต)และถอยหลัง(อดีต)ราวกับกำลังสร้างแผนที่เส้นทางชีวิตขึ้นมา อีกทั้งไม่ว่าจะคำนวนซ้ำๆ หรือทำนายซ้ำๆ อย่างไรก็ตามค่าผลลัพธ์การทำนายก็จะยังคงมั่นคงในตำแหน่งเดิมเสมอ

2. วิชาโหราศาสตร์ที่ว่าด้วยการเสี่ยงทาย เช่นไพ่ Tarot อี้จิง การเสี่ยงทายอักษรรูน หรืออื่นๆ ข้อดีของโหราศาสตร์แบบนี้คือความไม่ยุ่งยาก ขอให้เข้าใจในหลักการก็สามารถเสี่ยงทายถอดรหัสคำทำนายออกมาได้ในทันที แต่ข้อเสียคือความไม่มั่นคงของคำทำนาย อธิบายง่ายๆ คือหากทำนายซ้ำๆ หรือทำนายเรื่องเดิมซ้ำในช่วงเวลาใกล้ๆกัน ผลลัพธ์ก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไป (จึงมีคำแนะนำเกี่ยวการใช้วิชาในกลุ่มนี้ว่าไม่ควรทำการเสี่ยงทายทำนายบ่อยเกินไป)

3. วิชาโหราศาสตร์ที่ว่าด้วยการสังเกต เช่นการดูลายมือ โหงวเฮ้ง ฮวยจุ้ย(ซึ่งในขั้นสูงจะมีเรื่องของการคำนวณเข้ามามีส่วนเป็นอย่างมาก)

แต่ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ประเภทใดก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นเรื่องการถอดรหัสตีความหมายจากความคลุมเครือของคำทำนายอยู่ดี

พอมาถึงขั้นนี้แล้วท้ายสุดก็จะวัดความแม่นยำจากสัญชาติญาณในการอ่านรหัสที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนว่าจะมีกันได้มากน้อยแค่ไหน

ไม่มีโหราศาสตร์ใดตรงไปตรงมา โหราศาสตร์จึงเป็นเรื่องของศิลปะในการถอดรหัสจากสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในปัจจัยที่เป็นต้นทุนในการทำนาย

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ที่สุดต่อจิตใจของผู้คน

House of Personality

" เรือนชะตา "
(โหราศาสตร์ไทย)

ท้องฟ้าสมมุติในระบบโหราศาตร์นั้นแบ่งพื้นที่ออกเป็น 12 ส่วนซึ่งก็คือ 12 ราศี เมื่อตำแหน่งลัคนา (Ascendant) ถูกวางลงไปในตำแหน่งองศาใด องศานั้นจะเริ่มนับเป็นเรือนที่ 1 ที่ราศีนั้น จากนั้นก็นับวนแต่ละราศีไปทีละราศีเป็นเรื่อนที่ 2, 3, 4 .... เรื่อยไปจนครบ 12 เรือน

เช่นถ้าลัคนา(As)อยู่ราศี สิงห์ ก็จะนับราศี สิงห์ เป็นเรือนที่ 1 และนับกันเป็นเรือนที่ 2 ไล่ไปจนครบเรือน 12 ที่ราศีกรกฏ

ตำแหน่งเรือนชะตาแต่ละเรือนจะมีความหมายที่แตกต่างกันดังนี้

1. VITA ตนุ ตนเอง สิ่งแวดล้อม
2. LUERUM กฏุมภะ เงินทองรายได้
3. FRATRES สหัชชะ ญาติพี่น้อง การเดินทางใกล
4. GENITOR บ้าน ที่อยู่อาศัย
5. NATI ปุตตะ บุตร โชค ความรัก
6. VALETUDO อริ สุขภาพ การงาน
7. UXOR ปัตนิ ศัตรูที่เปิดเผย คู่สมรส หุ้นส่วน
8. MORS มรนะ ความตาย ืการสิ้นสุด ความเจ็บป่วย
9. PIETUS ศุภะ ศาสนา การเดินทางใกล
10. REGNUM อำนาจวาสนา เกียรติยศ ชื่อเสียง
11. BENEFACTAGUE ลาภะ มิตรสหาย โชคลาภ
12. CARREER วินาสนะ ศัตรูไม่เปิดเผย คุกตะราง



โดยเบื้องต้นของการทำนาย เมื่อต้องการจะดูเรื่องใดที่เป็นพื้นชีวิตก็ให้ดูตามตำแหน่งของเรือนนั้นๆ (เช่นดูเงินทองก็ดูที่เรือน 2)

จากนั้นก็ดูว่าดาวเจ้าราศีนั้นย้ายไปอยู่ตำแหน่งราศีใด ราศีที่ดาวเจ้าเรือนย้ายไปอยู่นั้นมีสถานะเป็นเรือนใด และทำปฏิกริยาอะไรต่อกัน(ทำปฏิรยากับดาวเจ้าเรือนของเรือนที่ย้ายเข้าไปอยู่อย่างไร)
เราก็จะสามารถได้คำตอบของพื้นชะตานั้นในขั้นเบื้องต้นได้

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

Tarot Exp 01


คุณผู้หญิงคนหนึ่งเธอเล่าให้ผมฟังว่า เธอกับครอบครัวสามีความสัมพันธ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เกรงว่าจะจะไปกันไม่รอด เธออยากรู้ว่าสถานะการณ์ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ... ว่าแล้วก็หยิบไพ่ขึ้นมาหนึ่งใบ คือใบขวามือสุด

เธอดูไพ่ใบนี้ก็ถึงกับอึ้งไป ... ดาบเรียงรายล้อมรอบ ไม่มีอะไรชวนให้สบายใจซักนิดเดียว

ผมบอกกับเธอว่าตอนนี้คุณก็เหมือนกับเจ้าคนที่ยืนอยู่บนตอไม้นี่แหละ จะไปไหนก็ไม่กล้า จะทำอะไรก็ระแวง คมดาบมันขวางกั้นเอาไว้หมด สถานะการณ์ของคุณกับบ้านแฟนคุณนี่จึงโคตรจะมาคุอย่างไม่ต้องไปเสียเวลาสงสัย

ก่อนที่เธอจะเซ็งกับชีวิตตัวเองมากไปกว่านี้ ผมรีบตัดบทบอกให้เธอหยิบไพ่ใบที่สองขึ้นมาเพื่อเป็นคำแนะนำว่าเธอจะออกจากป่าแห่งคมดาบได้อย่างไร ... แล้วไพ่ใบที่สองก็ถูกเปิดออกมา

ผมบอกกับเธอว่ามันจะดีขึ้นได้นะถ้าคุณพยามฝ่าเข้าไปให้ถึงตัวพวกเขา ความจริงพวกเขาก็ไม่ได้ถึงขนาดจะฆ่าคุรให้ตายหรอก เพียงแต่ความระแวงระหว่างกันน่ะ มันกั้นขวางเอาไว้เหมือนอย่างที่แสดงออกมาจากไพ่ใบแรก เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณความทำจริงๆ ก็คือการฝ่าวงล้อมเข้าไป พยามให้เขาเห็นหน้าบ่อยๆ พยามใกล้ชิดให้มากขึ้น ความจริงใจและเปิดเผย(ดุจดังแสงสว่างจากดวงอาทิตยฺ)เท่านั้นคืออาวุธที่คุณจะใช้ในการผ่านพ้นอุปสรรคครั้งนี้

ดูเธอจะยิ้มได้จากไพ่ใบที่สองนะ

ว่าแล้วก็หยิบไพ่ใบที่สาม บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรหากทำตามคำแนะนำจากไพ่ใบที่สอง
ผลลัพธ์คือไพ่ที่อยู่ด้านซ้ายมือ

Bravo!!! เธอยิ้มในที มันชัดเจนในตัวของมันเองครับ

ศุภเคราะห์ บาปเคราะห์

 
ดาวศุภเคราะห์(ดาวที่ผลในทางสร้างสรรค์)
ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส ดาวจันทร์

ดาวบาปเคราะห์(ดาวที่ให้ผลในทางไม่สร้างสรรค์)
ดาวอังคาร ดาวเสาร์ ดาวมฤตยู

ดาวที่เป็นได้ทั้งศุภเคราะห์และบาปเคราะห์
ดาวอาทิตย์ ดาวเนปจูน ดาวพูลโต

ส่วนในยูเรเนี่ยนนั้นไม่ถือว่าดาวใดเป็นศุภเคราะห์หรือบาปเคราะห์เพราะดาวจะดีหรือร้ายย่อมขึ้นอยู่กับการเข้าสูตรของดาว

Node

ราหู ความจริงราหูไม่ใช่ดาวแต่เป็นพิกัดทางดาราศาสตร์ตำแหน่งหนึ่ง (ยูเรเนี่ยนไม่จัดอยู่ในกลุ่มดาวเคราะห์ แต่ถือว่าเป็น 1 ใน 6 จุดเจ้าชะตา) โดยราหูหมายถึง การติดต่อ ประชาสัมพันธ์ การสมาคม 
ครอบครัว สิ่งแวดล้อม



+ อุดมการณ์ การพูดการเขียน ติดต่อ ครอบครัว คู่ครอง พรรคพวกมาก
- ความไม่ราบรื่น พูดไม่ดี ความหึงหวง ถึงแก่กรรม ไม่ชัดเจน ผิดหวัง ความหวังในทางที่ผิด

รูปร่างอ้วนท้วน ท้วม เตี้ย

Pluto

ดาวพลูโต หมายถึงการเกิดใหม่ ความพิสดาร พัฒนาการ การตาย ความแปลกใหม่



+ การปฏิรูป การสร้างใหม่ การเริ่มต้นแล้วสิ้นสุด การพัฒนาไปในทางที่ดี
- การระเบิด การเคลื่อนไหวแบบลึกลับ ทำลายอย่างขุดรากถอนโคน ความเร่าร้อน

รูปร่างใหญ่สันทัดสูงโปร่ง

Neptune

ดาวเนปจูน หมายถึงความลี้ลับ ความเพ้อฝัน เชื่อโชคลาง คนทรงเจ้า จิตวิญาณ ความลุ่มหลง



+ มีอุดมการณ์ มีสิ่งดลใจ มีนิมิต โชคลาง ความฝัน
- ความสะเพร่า หลอกลวง เพ้อเจ้อ ทรยศ ยาเสพติด มึนเมา สติฟั่นเฟือน กลอุบาย

รูปร่างเล็กบาง ศีรษะยาว หน้าคมคาย กิริยาลึกลับ

Uranus

ดาวยูเรนัส หมายถึงความกระตือรือร้น ความบุบบับกระทันหัน สิ่งแปลกใหม่ การคิดค้นสร้างสรรค์ แหวกแนว



+ การประดิษฐคิดค้น เทคโนโลยี ญาณหยั่งรู้ การเข้าถึงศาสตร์เร้นลับ การเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน
- ความผิดปรกติ ความพลัดพรากกะทันหัน ความดันทุรัง ดื้อดึง แตกหัก แยกทาง หย่าร้าง เป็นม่าย

ผอมโซ สูงโย่ง เล็กบาง ตาใหญ่

Saturn

ดาวเสาร์ หมายถึงขอบเขตจำกัด ความอดทน งานหนัก ทุกขฺยาก อุปสรรค รวมไปถึงของเก่า ของใช้แล้ว ที่ดิน หรือรถยนตร์



+ อดทนเอาการเอางาน อายุยืน(อายุมาก แก่ชรา) ล่าช้า จากลา
- ความเครียด ขาดความอดทน เกียจคร้าน หวาดกลัว เห็นแก่ตัว คับแคบ ขี้เหนียว ระแวงเกินเหตุ เงียบเหงา สันโดด อับโชค ล้มเหลว

สูงปานกลาง หน้าผากกว้าง ใบหน้าสี่เหลี่ยม จมูกใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมสีเข้ม

Jupiter

ดาวพฤหัส หมายถึงเมตตา ความน่าเชื่อถือ ที่พึ่งพิง ความเจริญรุ่งเรือง ความเบิกบาน สิ่งดีงาม ศาสนา นักบวช การเงิน



+ โชคดี เมตตาปราณี ร่าเริง ความเชื่อมั่น การขยายตัว ความจงรักภักดี
- ขาดความยั้งคิด สุรุ่ยสุร่าย โลภ งมงาย เสียทรัพย์

รูปร่างสมส่วน หน้าอกกว้าง สูงชะลูด กระดูกใหญ่ ผมดกดำ

Mars

ดาวอังคาร หมายถึงความกล้าหาญ คึกคัก ว่องไว อำนาจรุนแรง การต่อสู้



+ ผู้นำ กล้่าหาญ ตรงไหตรงมา เข้มแข็งบากบั่น นักสู้
- ก้าวร้าวรุนแรง ความโกรธ โหดร้าย หยาบคาย การทำลายล้าง สงคราม

รูปร่างแข็งแรง ล่ำสัน กล้ามใหญ่ คล่องตัวว่องไว

Venus

ดาวศุกร์ หมายถึงระบบประสาท ความพร้อมเพรียง กลมเกลียว มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน ศิลปะ ความรัก



+ ช่างดัดแปลง หัวศิลปะ ความสุภาพ อ่อนโยน นิ่มนวล สันติสุข ผ่อนหนักผ่อนเบา เจ้าชู้ ช่างเอาใจ
- ความโลภ เล่ห์กล ราคะ กิเลส ตัญหา ไม่สงวนตัว ไม่รักเกียรติ

สมส่วน สันทัด ใบหน้างาม กิริยาสุภาพ สง่างาม ผิวสองค่อนข้างขาว

Mercury

ดาวพุธ หมายถึงความคิด คำพูด การสื่อสาร การคมนาคม



+ ความเฉลียวฉลาด ว่องไว คล่องตัว มีเหตุผล ความช่างเจรจา
- มารยา ความเจ้าเล่ห์ สอดรู้สอดเห็น การติเตียน หงุดหงิด โวยวาย

ผอมบาง หน้าแดง จมูกโด่ง มือเรียวแขนขายาว ผิวเนื้อสองสี

Moon


ดาวจันทร์ (ยูเรเนี่ยนไม่จัดอยู่ในกลุ่มดาวเคราะห์ แต่ถือว่าเป็น 1 ใน 6 จุดเจ้าชะตา) หมายถึงความมีเสน่ห์ ความงาม ความสงบ ความเมตตาอารี การคบค้าสมาคมกับชนชั้นสูง



+ ความจำดี การปรับตัวได้ดี อารมณ์ศิลปิน ความสวยงาม ผู้หญิง ภรรยา มารดา บุตรสาว
- ความจู้จี้จุกจิก ขาดเหตุผล อารมณ์แปรปรวน อ่อนแอไม่เข้มแข็ง ขาดความเชื่อมั่น

ขาวท้วม ใบหน้ากลม รักสวยรักงาม

Sun

ดาวอาทิตย์ (ยูเรเนี่ยนไม่จัดอยู่ในกลุ่มดาวเคราะห์ แต่ถือว่าเป็น 1 ใน 6 จุดเจ้าชะตา) หมายถึงตัวตน จิตใจ จุดกำเนิด พลังอำนาจ ผู้นำ(บิดา นายจ้าง หรือสามี)



+ ความภูมิฐาน เกียรติยศ ความสง่างาม ความเป็นผู้นำ
- ความยะโสโอหัง อวดดี บ้าอำนาจ หัวรั้น กดขี่ ฟุ่มเฟือย

อาชีพ : ผู้นำ หัวหน้า ผู้บริหาร ผู้ออกคำสั่ง ข้าราชการ

กระดูกใหญ่ ร่างใหญ่ ผมบาง หน้าผากใหญ่ ตาดุ ผมหยิก


" Question "

โหราศาสตร์ (หรือศิลปะในการทำนายอนาคตใดๆ ก็ตาม) จะสำแดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่เมื่อมันได้รับการตั้ง "คำถาม" ที่เฉียบคม



คำถามที่เฉียบคมและสร้างสรรค์ย่อมเป็นตัวช่วยกำหนดทิศทางในค้นหาคำตอบจากรหัสที่ได้รับจากเครื่องมือโหราศาสตร์มีความเฉียบคม

เคยมีคนเปรียบการตั้งคำถามเอาไว้ว่าการตั้งคำถามก็เหมือนกับการเอาไม้ตีระฆัง คำถามยิ่งเฉียบคมสร้างสรรค์ก็เหมือนการตีระฆังได้เต็มที่เต็มกำลังและถูกตำแหน่ง ตอบตอบที่รับคือเสียขอระฆังนั้นย่อมดังกังวาลอย่างมิต้องสงสัย


บางทีเพียงแค่เราเปลี่ยนวิธีตั้งคำถาม ผลของคำทำนายก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมายมหาศาลครับ