บางทีชีวิตผมอาจจะมีบุญสัมพันธ์บางอย่างกับศาสนาคริสต์ก็ได้กระมัง ตอนเป็นเด็กก็โตมาในโรงพยาบาลมิชชันนารี เพราะร่างกายเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตามประสามนุษย์เนปจูนอยู่เรือน 8 นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงก็อ่านไบเบิลแก้เซ็งวนๆไป ต่อมามีเมีย เมียก็เป็นคริสเตียนอีก
ที่จริงทุกวันนี้เวลามีคนถามผมว่าผมนับถือศาสนาอะไร บางทีก็อ้ำอึ้งตอบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะรู้สึกว่าสำหรับเรื่องพวกนี้ตัวเองคงเป็นประเภทได้หมดถ้าสดชื่น แต่ถ้าให้อยู่ในกรอบในร่องในรอยอย่างเคร่งครัดกับอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแล้วไม่ว่าศาสนาอะไรก็คงเป็นศาสนิกที่ดีไม่ได้ เพราะมักคิดอะไรนอกลู่นอกทางจากที่เขาสอนๆ เชื่อๆ กัน
นี่ก็ตามประสามนุษย์ดาวพุธถึงพฤหัสและพลูโตอีก
สมัยเด็กๆ เคยได้ยินที่ศาสนิกชาวคริสต์เขาสอนว่า “ถ้าเขาตบแก้มซ้ายท่าน ก็ให้ยื่นแก้มขวาให้เขาตบอีกสักที” อะไรทำนองอย่างนี้ สมัยเด็กๆฟังแล้วรู้สึกว่าอีหยังวะ มึงจะยอมให้มันตบทำไมเยอะแยะ โดนตบไปทีเดียวก็น่าจะแย่พอแล้ว
แต่พออยู่ไปนานๆ เริ่มกร้านโลก พอรู้จักอะไรๆ ในโลกมากขึ้นจึงเข้าใจว่าคำสอนนี้ที่จริงเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง
ถ้าเขาตบแก้มซ้ายเรา เราจะทำอย่างไร?
ทางเลือกแรกคือก็อาจจะเราโมโห ถึงโมโหมาก โมโหจนควันออกหู แล้วคิดว่ามึงตบกูได้กูก็จะตบมึงคืน เอาให้อ๊วกแตก จัดหนักเป็น 10 เท่า 100 เท่า เอาให้สาแก่ใจสาแก่ความแค้น
ถ้ามารูปนี้สภาวะจิตของเราคือกำลังไหลอยู่ในฝั่งของเสาทางซ้าย เป็นเสาแห่ง Severity (ความรุนแรง)
เป็นสภาวะจิตด้านที่แข็งแกร่ง ก้าวร้าว ดุดัน รุนแรง เต็มเปี่ยวไปด้วยอัตตา เป็นภาวะที่เป็นหยางแบบสุดๆ สว่างไสว ร้อนแรง สภาวะอย่างนี้อาจจะสรุปง่ายๆ ว่าเป็นภาวะที่แข็งกระด้างเกินไป มึงตบมากูก็ตบกลับ ตบกันไปตบกันมาสุดท้ายลงลากปืนมายิง แล้วก็คงตายกันไปข้าง
แต่ถ้าโดนตบแล้วอาจจะรู้สึกหวาดกลัว ยอมแพ้ ยอบสิโรราบ สอนเสียเปรียบ ยอมเป็นผู้ให้แต่ฝ่ายเดียว เป็นผู้ยอมรับในโชคชะตาอย่างไม่มีเงื่อนไข ในกรณีนี้ก็อาจจะร้องไห้ฟูมฟาย หรืออาจจะวิ่งหนี หรือบางทีอาจจะยืนอยู่นิ่งๆ ให้เขาตบๆๆๆอีกจนหนำใจ
แต่ก็เป็นการยอมให้ตบแบบผู้แพ้ ผู้หวาดกลัว ไร้สิ้นพละกำลังจนไม่กล้าหืออือหรือทำอะไรตอบโต้ (ก็เป็นคนล่ะเรื่องก็การยื่นแก้มขวาให้ตบแบบที่อยู่ในคำสอน)
ถ้ามาในรูปนี้ นี่ก็คือสภาวะจิตที่กำลังไหลอยู่ในฝั่งของเสาทางขวา เป็นแห่ง Mercy (ความเมตตา) เป็นสภาวะจิตด้านที่อ่อนโยน นุ่มนวล เป็นพลังฝ่ายหยิน ฟังดูดีก็จริงแต่ถ้ามากไปก็อาจจะเป็นความอ่อนแอขึ้นมาได้
สรุปว่าไปทางเสาซ้ายก็มากเกินไป ตึงเกินไปจนพร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าไปทางเสาขวามากเกินไปก็หย่อนเกิน หย่อนยานจนใช้การอะไรไม่ได้
ส่วนเสาตรงกลางที่เรียกว่าเสาแห่ง Mildness (ความอ่อนโยน) เป็นภาวะที่ผสมผสานกันระหว่าง Mercy และ Severity
การผสมผสานนี้เกิดจากการนำเอาจุดเด่นหรือข้อดีของทั้งสองฝ่ายเข้ามารวมไว้ด้วยกัน (เอาจุดเด่นมาผสมกันเหมือนยูเรเนี่ยนผสมดาวนั่นแหละ ไม่ได้เอาข้อดีกับข้อด้อยเข้ามาหักล้างกัน) สภาวะของเสานี้ที่จริงแล้วจึงมีพลังอำนาจในตัวของมันเอง เพราะเอาพลังงานที่สร้างสรรค์ของจากสองขั้วเข้ามาไว้ด้วยกัน
ถ้าฉันโดนตบแก้มซ้าย ฉันไม่โกรธเธอ แต่ฉันก็จะไม่วิ่งหนีหรือหวาดกลัวเธอด้วย ถ้าเธออยากตบฉันก็จงตบฉันให้พอใจ แล้วฉันจะสวมกอดเธอด้วยความรัก
มาคิดๆ ดู อะไรแบบนี้ถ้าไม่แน่จริงก็ทำไม่ได้
เพราะเป็นธรรมดาของมนุษย์เราที่จะต้องตอบสนองด้วยสภาวะที่ไม่ขวาก็ซ้าย ไม่ได้เปรียบก็ต้องเสียเปรียบ แต่สภาวะตรงกลางนี้มันได้พ้นออกจากทั้ง 2 ขั้วนั้นไปไกลแล้ว
การยืนหยัดอยู่สภาวะตรงกลาง ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความสมดุล จึงเป็นสภาวะจิตในอุดมคติ เป็นภาวะสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะมี (ถ้าสามารถไปถึงได้)
ตำแหน่ง Tiphareth ซึ่งเป็นสภาวะแห่งพระเจ้า (พระบุตร) จึงสถิตย์อยู่ที่ตรงกลางของเสาต้นนี้ สถิตย์อยู่ตรงกลางระหว่างสวรรค์ (Kether) และโลก (Malkuth)
และหนทางที่จะไปถึงเสาต้นนี้ได้ เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความอ่อนโยน มีความรัก มีความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจ เป็นเครื่องชี้นำ มิอาจถึงได้ด้วยความเป็นบวกหรือลบอย่างสุดโต่ง
มิตรสหายท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า สภาวะของเสาตรงกลางนี้ ถ้าเทียบทางพุทธเพราะให้เราชาวพุทธเข้าใจง่าย ที่จริงก็คือจิตแห่งพระโพธิสัตว์ เป็นจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนชาวคริสต์ท่านว่านี่คือจิตแห่งพระเจ้า ผู้ที่เข้าถึงสภาวะจิตนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ได้นั่งใกล้พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง