วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ไม่มีเส้นแบ่งบนฟ้า

เมื่อตอนหัวค่ำผมเดินออกไปกินข้าว แหงนคอมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส และดาวเสาร์เรียงรายกันอยู่เป็นเส้น จังหวะดีฟ้าโปร่งๆ แบบนี้มองดูแล้วก็สวยดี

ความจริงเพียงแต่เราแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เราก็จะพบกับความจริงที่สำคัญประการหนึ่งว่า แท้จริงแล้วบนท้องฟ้าไม่ได้มีเส้นส่วนแบ่งพื้นที่หรือแบ่งขอบเขตอะไรทั้งนั้น ท้องฟ้าก็คือท้องฟ้านี่แหละ เป็นพื้นที่ว่างๆ อันไร้ขอบเขต โดยมีดวงดาวใหญ่น้อยเรียงรายอยู่โดยทั่วไปตามการสังเกตของคนบนโลก 

การที่คนสมัยโบราณเริ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าในตอนกลางคืนแล้วสังเกตรวมถึงจดบันทึกพฤติกรรมดวงดาวต่างๆ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิชาโหราศาสตร์ และแน่นอนว่ารวมไปถึงดาราศาสตร์ด้วย

สำหรับการแบ่งพื้นที่บนท้องฟ้าเช่นจักราราศีรวมไปถึงเรือนชะตา (2 เรื่องนี้ความจริงเป็นเรื่องเดียวกัน) ซึ่งใช้กันอยู่โดยทั่วไปในวิชาโหราศาสตร์นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ถูกสมมุติขึ้นมาภายหลังตามมติเห็นชอบของโหราจารย์สมัยโบราณ 

เราแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วนเรียกว่า 12 ราศีโดยตั้งชื่อตามหมู่ดาวฤกษ์ซึ่งเรียงรายไปตามแนวเส้นสุริยะวิถีก็เพื่อให้ง่ายต่อการขานตำแหน่งของดาวเคราะห์ต่างๆ ซึ่งโคจรไปตามแนวเส้นสุริยะวิถีนี้ ต่อมาจึงค่อยประดิษฐ์ความหมาย รวมถึงเหตุผลของความหมายเหล่านั้น เพิ่มเติมเข้าไปเพื่อประโยชน์ในทางพยากรณ์ (รวมไปถึงความหมายของดาวเคราะห์ต่างๆ ด้วย)

ถ้าเราศึกษาวิชาโหราศาสตร์ลงลึกกันไปอีกสักหน่อย เราก็จะพบว่าวิธีการในการแบ่งท้องฟ้านี้ก็มีหลายวิธีด้วยการ

ที่ชัดเจนที่สุดและถือว่าเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั้งโลกก็คือการแบ่งออกเป็น ระบบนิรายะนะ (ราศีคงที่) กับระบบสายนะ (ราศีเคลื่อนที่) ซึ่งทุกวันนี้  2 ระบบนี้มีความคลาดเคลื่อนกันมากถึงประมาณ 24 องศา

เฉพาะค่าความแตกต่างระหว่าง 2 ระบบซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าค่า อายนางศ นี้ก็มีคนคิดคำนวณเอาไว้เป็นค่าตัวเลขซึ่งแตกต่างกันหลายสิบค่าแล้ว เพราะสูตรในการคำนวณของแต่ละสำนักมีความแตกต่างกัน 

ยิ่งไปถึงเรื่องของการแบ่งเรือนชะตาด้วยแล้วก็ยิ่งมีมากมายหลายสิบวิธีการ โดยแต่ละวิธีต่างก็มีหลักเกณฑ์ของตนเองซึ่งแตกต่างกัน เช่นใช้จุดเริ่มต้นในการตัดแบ่งที่ไม่เหมือนกัน หรือใช้อัตราส่วนในการแบ่งพื้นที่ที่แตกต่างกัน จึงหาข้อสรุปหรือความเป็นมาตรฐานที่แน่ชัดไม่ได้ (อย่างมากก็คือมีบางวิธีการที่ได้รับความนิยมมากกว่าวิธีการอื่น)

แน่นอนว่าทุกวิธีการที่มีความแตกต่างกันเหล่านี้ บรรดาต้นสังกัดทุกสำนักต่างก็ยืนยันมั่นคงว่าวิธีการของตัวเองนั้นเป็นวิธีการที่ดีและได้ผล

ด้วยความตะขิดตะขวงใจทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เอง ทำให้วิชาโหราศาสตร์หัวก้าวหน้าในยุคหลังๆ มาเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องของราศีและเรือนชะตาน้อยลง บางสำนักก็ถึงขั้นเลิกใช้กันไปเลย หรือถ้าจะใช้ (ตามความเคยชิน) ก็ใช้เป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมมากกว่าจะเป็นวิธีการหลัก เช่นสำนักยูเรเนี่ยน หรือสำนักคอสโมไบโอโลยี่ เป็นต้น

โดยจะให้ความสำคัญกับดาวเคราะห์และการทำมุมถึงกันของบรรดาดาวเคราะห์ เพราะถือหลักการสำคัญว่าว่าโชคชะตานั้นย่อมถูกขับเคลื่อนไปภายใต้อิทธิพล หรืออย่างน้อยก็สอดคล้องกับตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ 

โดยเฉพาะสำนักยูเรเนียนนั้นถึงกับมีการคิดค้นดาวเคราะห์สมมุติขึ้นมาใช้ในการพยากรณ์เพื่อให้จำนวนของดวงดาวเพียงพอต่อการนำมาสร้างความหมายเทียบเคียงจากเหตุการณ์ในชีวิตของมนุษย์ ก็เรียกว่าสมมุติเหล่านี้ว่าดาวทรานเนปจูนทั้ง 8 ซึ่งโหราจารย์ในบ้านเรามักเรียกว่าดาวทิพย์ 

ในยุคเริ่มต้นของยูเรเนียนนั้น เขาเชื่อกันจริงจังว่าดาวทรานเนปจูนทั้ง 8 เป็นดาวที่มีอยู่จริงเพียงแต่ยังส่องกล้องหากันไม่พบ แต่อยู่ไปนานๆ พอวิชาดาราศาสตร์มันมีความเจริญก้าวหน้าไปถึงระดับหนึ่ง บรรดานักโหราศาสตร์ยูเรเนียนจึงค่อยยอมรับกันว่าดาวทรานเนปจูนทั้ง 8 เป็นดาวที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ดาวที่มีอยู่จริงเลย

เรื่องนี้มันก็ทำนองเดียวกับจุดราหูหรือลัคนาซึ่งเป็นจุดสมมุติจากการคำนวณเช่นกัน แต่ก็ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่สมัยโบราณจากสำนักโหราศาสตร์ทั่วโลกว่าว่าสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ได้เป็นอย่างดี 

ความแม่นยำ

ถ้าใครพอมีความรู้เรื่องการดูกราฟเทรดหุ้นบ้าง เทรดคริปโตบ้างอะไรบ้างก็น่าจะพอนึกภาพตามออก

สมมุติดวงชะตาคนเป็นกราฟราคาในตลาดนะ เราก็จะพบว่าเดี๋ยวมันขึ้นเดี๋ยวมันลง แดงๆเขียวๆ ภาษาเซียนเขาบอกเดี๋ยวหมี(ตก)เดี๋ยวกระทิง(ขึ้น)

ไอ้ความขึ้นๆ ลงๆ ไม่มั่งคงของราคานี่ เหมือนความรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงในชีวิตของคน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวสุขเดียวทุกข์ มันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตบ้าง มันก็เลยเป็นธรรมดาที่คนเราย่อมที่จะอยากรู้ล่วงหน้าว่าต่อไปภายภาคหน้าชีวิตฉันจะเป็นอย่างไร? จะขึ้นหรือลงจะสุขหรือทุกข์?

ใครรู้ตรงนี้ได้ คาดการณ์ตรงนี้ถูกก็จะได้ประโยชน์ ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ

คนในวงการเทรดเลยมักพูดกันว่า "รู้อะไรไม่สู้รู้งี้" 😑

ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครรู้หรอก บ่นไปอย่างนั้นแหละ

แต่ก็อยากรู้แหละ ห้ามกันไม่ได้

สุดท้ายก็เลยมีคนพยามหาอะไรต่างๆ มาพยายามคาดการณ์ทิศทางของอนาคต มันก็เลยเกิดเป็นวิชาอ่านแท่งกร๊าฟบ้าง ตีเส้นเทรนไลน์วัดฟีโบ รวมไปถึงสารพัดอินดิเคเตอร์ต่างๆ ทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวกัน 

นั่นก็คือการคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต "อย่างแม่นยำ"

(ในโลกของความเป็นจริง เราจะพบว่าการคาดการณ์ถึงอนาคตนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการหรือเทคนิคใดๆ ต่างก็ต้องใช้ข้อมูลย้อนหลังเป็นต้นทุนในการหาคำตอบทั้งสิ้น สำหรับโหราศาสตร์ก็ไม่หนีกัน)

แต่ไม่ว่าความรู้หรือเทคโนโลยีมากมายมหาศาลจะถูกถมลงไปมากขนาดไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อเถอะว่าสิ่งที่นักเทรดทั้งหลายยังคงต้องเจอมันหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือการ "ทายวืด" 😑

คือสัญญาณอะไรต่อมิอะไรล้วนชี้วัดว่าราคามันจะต้องไปทางหนึ่ง แต่พอถึงเวลาจริงๆ เสือกพุ่งไปอีกทางหน้าตาเฉย

เรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องปรกติ (เพราะถ้าจะมีอะไรซักอย่างที่ทายแม่นขนาดนั้นเราคงรวยกันทั้งโลกแล้ว)

ในวิชาโหราศาสตร์ความจริงก็ไม่ต่างกัน บางครั้งเมื่อหลักเกณฑ์หรือข้อชี้วัดต่างๆ เช่นตำแหน่งดาว โครงสร้างพระเคราะห์สนธิ หรือโยคเกณฑ์ต่างๆ มันชี้คำพยากรณ์ไปในทางหนึ่งอย่างชัดเจน แต่พอมันเอาเข้าจริงๆ ดันกลายเป็นอย่างไปซะได้

เอาจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด นักพยากรณ์ทุกคนถ้าไม่หลอกตัวเองก็ต้องเจอกันบ้างเป็นเรื่องปรกติ จะบ่อยมากน้อยขนาดไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

การพยามอัพเดทวิชาโหราศาสตร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งจำเป็น แทบจะเป็นงานประจำของนักโหราศาสตร์ทุกคนเลยก็ว่าได้

บางคนหาคำตอบจากคัมภีร์โบราณ บางคนก็พยามสร้างวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมา ก็ว่ากันไปไม่มีผิดถูก เพราะสุดท้ายแล้ว "ความแม่น" (ที่สุดเท่าที่จะทำได้) คือเป้าหมายสำคัญที่สุดที่นักพยากรณ์ทุกต้องการ

ส่วนแม่นแล้วจะยังไงกันต่อ จะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้บ้าง นั่นอีกเรื่องหนึ่ง คนล่ะประเด็นกัน

ขั้นตอนการพยากรณ์

ในหนังสือ “โหราศาสตร์ไทยระบบรังสีดาว” ของอาจารย์จรัญ เขียนสรุปหลักพยากรณ์ที่น่าสนใจเอาไว้ประการหนึ่งก็คือ

การพยากรณ์ในเชิงปรากฏการณ์ หรือเหตุการณ์ต่างๆ แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เอาเข้าจริงก็มักทายพลาดกันได้ง่ายๆ และก็พลาดกันมานักต่อนักแล้ว

เช่นเห็นเสาร์จรมาถึงจันทร์กำเนิด (SAt = MOr) ก็ทายว่าแม่จะตายเมียจะป่วยบ้าง ซึ่งก็หน้าแหกกันมานักต่อนักแล้ว

ดังนั้นการพยากรณ์ใดๆ ก็ตาม จึงควรเริ่มต้นจากคำพยากรณ์ในเชิงจิตใจ อารมณ์ หรือความรู้สึก กันเสียก่อน 

เช่นเสาร์จรมาถึงจันทร์กำเนิดก็ทายไปก่อนว่าจิตใจกำลังหม่นหมอง มีอารมณ์กลัดกลุ้ม อึดอัดใจ อะไรทำนองอย่างนั้น

หากคำพยากรณ์ในเชิงสภาวะจิตใจนี้ถูกต้องหรือใช้งานได้ เราก็ค่อยสืบค้นกันต่อไปอีกว่าจิตใจ อารมณ์ หรือความรู้สึกเหล่านั้น เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ใด

เช่นที่ว่า หม่นหมองกลัดกลุ้มนั้น ก็อาจจะเนื่องด้วยแม่จะตายเมียจะป่วย อะไรทำนองอย่างนี้

การออกคำพยากรณ์ในลักษณะนี้เป็นที่นิยมกันในหมู่นักพยากรณ์รุ่นใหม่ ซึ่งพยายามหลีเลี่ยงการด่วนสรุปในเชิงเหตุการณ์ โดยมองว่าสภาวะของจิตใจ อารมณ์ หรือความนึกคิดต่างๆ ล้วนเป็นพื้นฐานหรือเป็นจุดเชื่อมโยงไปยังปรากฏการณ์ต่างๆ อีกที 

ซึ่งการทายกันอย่างเป็นชั้นๆ เป็นขั้นๆ ไปอย่างนี้ โอกาสทายได้ถูกเรื่องถูกราวจะมีมากกว่า ไม่ต้องอาศัยโชคตัวเองในการทายโชคชาวบ้านอีกที

อุปมาเหมือนดั่งศิลปินก่อนจะแต่งเติมรายละเอียดให้กับรูปภาพ ก็ควรที่จะผ่านขั้นตอนในการร่างแบบคร่าวๆ ขึ้นมาเสียก่อน 

ดาวศูนยพาหะ

ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผู้ที่บัญญัติคำว่า “ดาวศูนยพาหะ” คือโหราจารย์ท่านใด แต่ถ้าเราแปลตามศัพท์แล้ว คำว่า “ศูนย” แปลว่าจุดกึ่งกลางหรือจุดศูนย์กลางของวงกลม และคำว่า “พาหะ” แปลว่านำทาง ซึ่งจะต้องมีผู้นำทาง ถ้าเราเอาคำทั้งสองนี้มารวมกันก็น่าจะแปลว่า “ผู้นำทางไปสู่จุดศูนย์กลาง หรือเป็นรูปวงกลม”

ดาวศูนยพาหะ รู้จักกันมานานในวงการโหราศาสตร์ไทยทุกระบบ มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมในความหมายที่ว่า “เป็นดาวที่เดินนำหน้าลัคนา” หรือก็คือ “ดาวลอยในภพกดุมภะ” นั่นเอง

ดาวที่อยู่ในภพกดุมภะ หรือนำหน้าลัคนา ไม่ว่าจะมีกี่ดวงก็ตามเราจะเรียกดาวเหล่านั้นว่า “ดาวศูนยพาหะ” ซึ่งโหราจารย์ท่านให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อดวงชะตาสูง เทียบเท่ากับดาวกุมลัคนาเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวฆาต หรือเป็นดาวมรณะในตัวของมันเอง เมื่อนำหน้าลัคนา ก็จะส่งผลให้เจ้าชะตาประสบอุบัติเหตุร้ายแรง อาจเกิดการผ่าตัดใหญ่ สูญเสียเลือดเนื้อ กระดูกหัก ฟันหัก เกิดการพลัดพรากสูญเสีย ฯลฯ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่งได้ เช่นเดียวกับดาวอังคารกุมลัคนา

นี่เป็นความหมายที่โหรไทยเราทราบกันดี และทราบกันเพียงเท่านี้ แต่จะมีโหนสักกี่คนที่นำเอาหลักการดาวศูนยพาหะนี้ไปใช้ในการพยากรณ์ให้กว้างขวางกว่านี้

เช่นถ้าดาวอังคารนำหน้าดาวเจ้าเรือนลัคน์ หรือนำหน้าดาวอื่นๆล่ะ จะส่งผลร้ายแรงในเรื่องอุบัติเหตุ การพลัดพราก สูญเสีย เปลี่ยนแปลงสถานะ ฯลฯ แก่ดาวดวงนั้นเช่นเดียวกับลัคนาหรือไม่?

เรื่องนี้ใครไม่ลอง ไม่เฝ้าสังเกต จดจำ ทำบันทึก ก็อาจจะไม่รู้ แต่ถ้าใครลองทำดู พิจารณาดู ก็จะรู้ว่า ดาวอังคารที่นำหน้าดาวใดก็ตามมักจะให้โทษแก่ดาวนั้นในเรื่องนั้น และความหมายของดาวอังคารเสมอ

ยิ่งนำหน้าดาวอาทิตย์คู่ศัตรู และคู่อุบัติเหตุ ก็ยิ่งให้โทษหนักไม่น้อยไปกว่าดาวทั้งสองกุมกัน

ไม่ใช่เฉพาะดาวอังคารที่นำหน้าลัคนา หรือดาวอื่นเท่านั้น แต่ดาวทุกดวงที่เดินนำหน้าลัคนา หรือดาวใดก็ตาม ล้วนมีอิทธิพลต่อดาวที่อยู่ตามหลังด้วยเหมือนกัน เปรียบเสมือนผู้นำทางอยู่ข้างหน้า ย่อมมีอิทธิพลต่อผู้เดินตามอยู่ข้างหลังทุกฝีก้าว ถ้าคนนำหน้าตกเหว ก็คงจะนำให้คนตามหลังตกหิวไปด้วย หรือหัวรถจักรนำขบวนตกราง หรือหยุดวิ่ง ไปต่อไม่ได้ ก็จะพลอยให้ตู้โบกี้ทั้งหลายที่พ่วงตามมาตกราง หรือหยุด วิ่งต่อไปไม่ได้เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น

:)

เรียบเรียงจากหนังสือ - โหราศาสตร์ระบบพลูหลวง เล่ม 3

เขียนโดย - อาจารย์ เล็ก พลูโต

:)

หมายเหตุจากผู้เรียบเรียง - ก็คือการพยากรณ์ด้วยกฎเกณฑ์ “ดาวไปสู่” นั่นเอง 


:)




วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

พายุไต้ฝุ่นเกย์

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนของปี 2532  มีปรากฏการณ์ซึ่งเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยนั่นก็คือพายุไต้ฝุ่นเกย์ จากรายงานซึ่งสามารถค้นได้โดยทั่วไปปรากฏว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตายประมาณ 833 คนที่สูญหายอีกประมาณ 134 ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับในตอนนั้น

เราลองตั้งดวงชะตาขึ้นมาในลักษณะของกาลชะตา เพื่อให้ง่ายๆในตัวอย่างนี้จึงใช้เวลาสมมุติคือ 12.00 โดยภาพที่เห็นนี้คือดวงชะตาบนจาน 90 องศาซึ่งนิยมใช้กันโดยทั่วไปในหมู่นักโหราศาสตร์ยูเรเนียน

ในดวงนี้เราจะเห็นจุดเด่นคือ JU NE SA เกาะกลุ่มกันอยู่ ตัดออกมาไม่ไกลจะเห็น MO สถิติ ผมหาข้อมูลไม่เจอว่าพายุไต้ฝุ่นมันเริ่มแผลงฤทธิ์ตอนไหนแต่เข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ MO น่าจะทำมุมถึงดาวกลุ่มนี้

เรื่องบนโลกมนุษย์โดยทั่วๆ ไปสำนักยูเรเนียนใช้ AR (จุดเมษ) เป็นตัวแทน ในดวงนี้จะเห็นว่ามีดาว PLทำมุมจับจุดเมษ (อาจจะ  45° หรือ 135° ก็ได้) สนิทองศา เรื่องกันเพียงแค่  1ลิปดา 

PL นั้นยูเรเนียนมากมองเป็นกลางๆ แต่โหราศาสตร์สำนักอื่นมักมองในทางร้าย โดย PL นั้นหมายถึงการมีพัฒนาการ มีความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง การทุบทิ้งแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ การตายแล้วเกิดใหม่ เมื่อ PL มาทำมุมจับแกน AR ย่อมบอกถึงช่วงเวลาซึ่งโลกจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบางสิ่งตามคุณสมบัติของ PL

แต่แน่นอนว่า PL เป็นดาวเดินช้า ย่อมจอดแช่อยู่ในตำแหน่งเดียวเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเพียงการบอกถึงยุคสมัย หรือช่วงเวลาหนึ่ง จะหาสาระลงรายละเอียดคงเป็นไปไม่ได้

การอ่านดวงกาลชะตาด้วยพระเคราะห์สนธิ เราใช้ SU เป็นตัวแทน “วันนั้น”

ในดวงชะตานี้ถ้าเราตั้งแกนคำถามไปที่ SU เราจะพบว่าในวันนั้น SU กำลังทำมุมถึง ZE โดยมีค่าวังกะเพียง 12 ลิปดา

โดยทั่วไปเราแปล ZE ว่าเป็นการสร้างสรรค์ เป็นการลงมือทำตามแผนการซึ่งได้วางและกำหนดเอาไว้ นอกจากนี้ ZE ยังหมายถึงเครื่องจักรได้ด้วย สำหรับความหมายอีกอย่างหนึ่งของ ZE ก็คือ “กองไฟ” ความร้อนแรงอันใหญ่หลวง หรืออาจหมายถึงการระเบิดอย่างรุนแรงก็ได้ 

ความจริงเราอาจจะมอง ZE ไปในแง่ของภัยพิบัติหรือความเสียหายบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก็น่าจะพอไปได้ เพราะยูเรเนียนนั้นเกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1  ภัยพิบัติที่คนสมัยนั้นจะต้องพบเจอการเป็นประจำก็คือการทิ้งระเบิดลงมาจากเรือเหาะ (สมัยนั้นเขายังทิ้งระเบิดกันด้วยเรือเหาะ) การระเบิดอย่างรุนแรง หรือกองไฟอันมหึมา จึงกลายเป็นตัวแทนของ ZE 

แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่ามันนอกตำรา เป็นเรื่องที่คิดวิเคราะห์กันไปเรื่อย อาจจะใช่หรือไม่ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้าจะเอาให้รู้แน่ก็จำเป็นที่จะต้องเก็บเป็นสถิติและค้นคว้ากันต่อไป

กลับมาที่เก่า SU ความจริงจะเห็นว่าตรงขา 30 องศาของจานหมุนมันก็เฉียดกลุ่มดาว JU = SA = NE อยู่ประมาณ 1-2 องศา คาดว่าเรื่องของพายุไต้ฝุ่นนี้คงตั้งเค้าว่าจะสำแดงฤทธิ์เดชจันทร์จริงจังตั้งแต่เมื่อ SU ทำมุมกับกลุ่มดาวนี้

NE นอกจากหมายถึงน้ำหรือของเหลวแล้วยังหมายถึงแก๊สหรืออากาศ ส่วน JU คือการขยายตัว ความมีมากมายมหาศาล เราเอา JU กับ NE มาผสมกันจะแปลว่าพายุก็ได้ พ่อเติม SA เข้าไปก็กลายเป็นความสูญเสียหรือความพลัดพรากซึ่งเกิดจากพายุ

การแปลเป็นตุเป็นตะแบบนี้จะเห็นว่าทำได้ง่ายเพราะเรารู้ก่อนอยู่แล้วว่านี่กำลังดูเรื่องอะไร ถ้าไม่รู้กันก่อนการแปรก็จะยากขึ้นอีกหลายเท่า นี่เป็นเรื่องธรรมดา เรา Sync ข้อมูลถอยหลังไปจับกับชุดข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้วมันย่อมง่ายกว่าการไป Sync ข้อมูลในอนาคตซึ่งมันยังว่างเปล่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่แกน SU นี้เราจะเห็นศูนย์รังสีหลายคู่ที่บอกเล่าเรื่องราวไปในทางร้ายมากกว่าดี (ตัดศูนย์รังสีบางคู่ที่ประกอบไปด้วย MC และ AS ออกไปก่อนเพราะมันละเอียดอ่อนเรื่องของเวลามากเกินไป) 

ศูนย์รังสีที่น่าสนใจก็เช่น 

  • MO/HA ความยากจนของประชาชน ชั่วโมงแห่งความน่าหวาดกลัว ชั่วโมงแห่งชะตากรรม
  • NO/MA เกี่ยวข้องกับความรุนแรง
  • UR/KR อำนาจซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลัน
  • HA/AP ความยากจนอย่างกว้างขวาง ความทุกข์ยากในหมู่ประชาชน การล่มสลายของธุรกิจ
  • HA/VU พลังอำนาจของปีศาจร้าย ความโหดร้ายหรือเสื่อมทรามอย่างมหาศาล

ก็ล้วนสอดคล้องกันไปได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทั้งสิ้น 


:)