วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

ดวงชะตานักเรียนท่านหนึ่ง

ดวงชะตานักเรียน(ยูเรเนี่ยน)ท่านหนึ่ง ชีวิตเกี่ยวข้องอยู่กับศาสตร์ลึกลับอยู่เป็นอันมาก จะเห็นว่าเรือน 1 นั้นมีดาวอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เรือนชะตานี้เด่นกว่าเรือนอื่น

เรื่องศาสตร์ลึกลับนั้นตำราไทยท่านมักเพ่งเล็งไปที่ดาวเกตุ(ไทย) 

ข้อน่าสังเกตุสำหรับดวงนี้คือ ดาวเกตุทำมุมตรีโกณถึงลัคนาพอดี อีกทั้งยังสนิทองศากันกันอีกด้วย (เหลื่อมกัน 16 ลิปดา)

#หลงรูปธรรมท่านให้ดูราหู

#หลงนามธรรมท่านให้ดูเกตุ

ไฮน์ริช ฮิมเลอร์

ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ เป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของพรรคนาซี 

เขาเป็นผู้ควบคุมกองกำลัง SS ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเหี้ยมโหด และที่สำคัญก็คือเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการทำ "ฮอโลคอสต์" (ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์) ชาวยิว ทำให้ชาวยิวกว่าหกล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกัน

เรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ฮิมเลอร์ มีความสนใจในด้านโหราศาสตร์และสิ่งลี้ลับต่างๆ อยู่ไม่น้อย 

ถึงกับก่อตั้งหน่วยงานที่มีชื่อว่า อาเนินแอร์เบอ ขึ้นมาเพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับ พันธุ์ศาสตร์ ภูมิศาสตร์การเมือง นิรุกติศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี เทพนิยาย ตลอดจนโหราศาสตร์ และเวทมนตร์คาถา โดยมุ่งหวังในการใช้ผลการวิจัยเป็นเครื่องมือสนับสนุนลัทธิชาตินิยมของพรรคนาซี

เราก็ลองตั้งแกน UR/AP (โหราศาสตร์) ในดวงชะตานี้ดูก็จะพบว่า

UR/AP = SU = VE = ZE = AD กันเลยทีเดียว (และ =AR = ME = SA = NE ในมุมอ่อน)

แต่ชะรอยว่า SA และ NE ในมุมอ่อนจะมีอิทธิพลรุนแรงไปหน่อยหรือไรไม่ทราบ เพราะดูเหมือนว่าพรรคนาซีจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ซักเท่าไหร่ 

มิหนำซ้ำระยะหลังๆ ยังเป็นเจ้าภาพในการล้างบางวงการโหราศาสตร์ในเยอรมันอีกต่างหาก เล่นเอาโหราจารย์เยอรมันหลายคนถูกจับไปอยู่ในค่ายกักกัน ที่ต้องไปเสียชีวิตอยู่ในนั้นก็มิใช่จำนวนน้อยๆ

ขอบเขตความหมายของ ลัคนา อาทิตย์ และจันทร์

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ขอสรุปเป็นภาพในรูปที่ 12  เปรียบเทียบขอบเขตความหมายของลัคนาอาทิตย์ และจันทร์ ที่สะท้อนถึงตัวตนของเจ้าชะตาในระดับต่างๆ

ลัคนาเป็นระดับเปลือกนอกของบุคคล เป็นการแสดงออกที่คนอื่นสังเกตเห็นได้ในแรกพบ เป็นตัวตนที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เป็นตัวตนที่บุคคลแสดงออกมาตามความคาดหวังของบุคคลรอบข้าง

อาทิตย์เป็นตัวตนโดยรวม เป็นเป้าหมายหลักของชีวิตบุคคล คนอื่นจะรับรู้ลักษณะอาทิตย์ของเจ้าชะตาได้อาจต้องคบหากันสักระยะหนึ่ง 

ส่วนจันทร์เป็นตัวตนที่อยู่ลึกเข้าไปในระดับจิตใจ จันทร์เป็นสิ่งที่สังเกตยากที่สุด เป็นส่วนที่คนอื่นยากจะรับรู้ได้ ตัวเจ้าชะตาจะรู้เองว่าอะไรที่สร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้เจ้าชะตา อันนั้นคือจันทร์

ขอยกตัวอย่างจะได้เห็นภาพชัดขึ้น

บุคคลที่มีลัคนาอยู่ราศีมังกร จะเป็นเหมือนพระเอกในครอบครัว เป็นผู้ที่คนรอบข้างคาดหวังว่าจะเป็นเสาหลัก เป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมดของครอบครัว บุคคลจึงแสดงออกเป็นคนจริงจัง เอางานเอาการ (ซึ่งจริงๆเขาอาจจะไม่ชอบก็ได้) 

ส่วนบุคคลที่มีอาทิตย์ในราศีมกร เป็นคนที่มีเป้าหมายจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อตนเองจะได้แผ่รังสีให้คนอื่นได้เห็นว่าฉันคือใคร บุคคลจึงมีธรรมชาติเป็นคนจริงจังเอาการเอางาน 

ส่วนบุคคลที่มีจันทร์ในราศีมังกรจะรู้สึกว่าตนเองปลอดภัย (เพราะความคุ้นชินที่สั่งสมมา) เมื่อตนได้ประสบความสำเร็จ จึงเป็นคนจริงจังเอาการเอางาน

อาทิตย์ จันทร์ และลัคนา เป็น 3 จุดที่สำคัญที่สุดในดวงชะตา เพราะเป็นจุดที่อธิบายลักษณะของตัวเจ้าชะตาโดยตรง 

เพียงแค่อ่าน 3 จุดนี้ให้ออก เราก็สามารถเข้าใจบุคคลที่ดวงชะตาสะท้อนออกมาได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจ 3 จุดนี้ให้ดี 

🙂

เรียบเรียงจาก หนังสือ : โหราศาสตร์สากลร่วมสมัย 

เขียนโดย : อ.กาลจักร

ณ.งานเสวนาเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แห่งหนึ่ง


เรื่องนี้ความจริงหลายปีมาแล้ว ก็เก็บมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ ในวันอาทิตย์ฟ้าครึ้มๆ ... 🙂

คือกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในงานเสวนาเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แห่งหนึ่ง 

หลังจากเปิดงาน วิทยากรท่านแรกก็ออกมาบรรยายที่หน้าห้อง แต่เนื่องจากวิทยากรท่านนี้ไม่ได้เป็นนักโหราศาสตร์ บรรยายอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ซักที ฟังไปฟังมาก็ชักให้กร่อยๆ 

ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยเปิดกระดานภิเพกประจำตัวขึ้นมาแล้วตั้งดวงแบบกาลชะตา (Horary) ดูแก้เซ็งไปพลางๆ ตอนนั้นก็ใช้จานแบบ 90 องศาเพราะจะดูแต่มุมดาวขี้เกียจดูอย่างอื่น

ว่าแล้วก็ตั้งจุด "โหราศาสตร์" (มฤตยู/อโพลอน) ขึ้นมาในดวงจร 

พบว่าวันนั้น มฤตยู/อโพลอน = ราหูพอดี .... อัยย๊ะ ค่อยสมกับเป็นวันแห่งการจัดงานเสวนาทางโหราศาสตร์หน่อย

แต่พอดูศูนย์รังสีอื่นๆ ที่มาทำมุมกับจุดนี้พร้อมกับพิจารนาการบรรยายของวิทยากรที่กำลังบรรยายอยู่แล้ว (ตาก็เหลือบไปมองโปรแกรมบรรยายของงานแบบจริงจัง) ตอนนั้นก็พอจะเดาๆ ทิศทางได้ว่างานวันนี้มันจะไปทางไหนยังไงกันต่อ

จุดปัจจัยเมอริเดียน (Mc) ในดวงทรานสิทนั้นในการพยากรณ์แบบ Horary มีความหมายว่า "ขณะนั้น" 

ว่าแล้วก็ดูที่จุดเมอริเดียนในดวงจรก็พบว่าใกล้ๆ จะมาถึงจุดโหราศาสตร์ที่เป็นแกรพยากรณ์นี่แล้ว

ก็เลยทายไปเล่นๆ กับมิตรสหายที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นการฆ่าความเบื่อไปว่า 

"เมื่อเมอริเดียนจรมาถึงจุดโหราศาสตร์ประจำวัน วิทยากรท่านนี้คงจะหยุดบรรยาย และการบรรยายคนจะได้เข้าเรื่องโหราศาสตร์จริงๆ" 

ว่าแล้วก็นั่งลุ้นระทึกไปเงียบๆ ราวกับนั่งลุ้นบิงโก

และแล้ว พอเมอริเดียนจรมันวิ่งเข้าระยะวังกะของจุดโหราศาสตร์เท่านนั้นแหละ วิทยากรก็กล่าวจบบรรยาย จากนั้นก็ลาเวทีไป เสียงปรมมือในห้องก็ดังขึ้น 

ส่วนผมก็นั่งยิ้มไปคนเดียวเงียบๆ พร้อมกับคิดในใจว่า

"เชี้ย .... ทำไมกูซื้อหวยมันไม่แม่นงี้มั่งวะ!!!!"

Equivocal

ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ตลอดจนถึงความกำกวม (Equivocal) ต่างๆ

นำไปสู่การ(ต้อง)ตีความหมายของสมอง 

เพราะสมองมีหน้าที่ในการที่จะต้อง "เข้าใจ" สิ่งต่างๆ แม้ว่ามันกำลัง "ไม่เข้าใจ" ในสิ่งที่มันกำลังรับรู้ก็ตาม

ในการนี้ กระบวนการในการตีความหมายจึงมีความสำคัญมาก

และเมื่อสมองต้องตีความหมายให้กับสิ่งที่มันกำลังรับรู้ ในกระบวนการนี้ มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดึงเอา Resource (ประสบการณ์/ความเชื่อ/ค่านิยม) ทั้งภายในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกออกมาใช้อย่างมหาศาล 

โดยผลลัพธ์จากการตีความหมายจะเป็นไปในทิศทางใดนั้น ก็ย่อมขึ้นกับรูปแบบของ Resource ที่อยู่ภายในจิตใจ(สมอง)ของแต่ละคน สำหรับสิ่งเดียวกัน สมองแต่ละก้อนจึงสามารถตีความหมายได้แตกต่างกันตามรูปแบบของ Resource ที่แตกต่างกันออกไป

ดังนั้นกระบวนการตีความหมายจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างจิตภายในและสิ่งที่กำลังรับรู้จากโลกภายนอก ทำให้สิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ภายในจิตใจถูกขับเคลื่อนออกมา

นี่เป็นหลักการพื้นฐานของการทำ Projective Test ในงานจิตวิทยา 

และเป็นกลไกซึ่งใช้ในการทำนายทายทัก ในวิชาโหราศาสตร์ รวมไปถึงพยากรณ์ศาสตร์ทุกแขนง?

การสะท้อนเรือนของเมอริเดียน ลัคนา ราหู และจันทร์

ถ้าเราพิจารนาวิธีการสะท้อนเรือนของเรือนชะตาลัคนาจะพบว่ามันมีลักษณะเดียวกับเรือนชะตาราหู

ในขณะที่วิธีการสะท้อนเรือนของเรือนชะตาเมอริเดียนจะมีลักษณะเดียวกับเรือนชะตาจันทร์

ทั้งนี้ก็เพราะ ลัคนาและราหูนั้นล้วนเป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างเจ้าชะตากับโลกภายนอก

ลัคนาคือรูปธรรม สิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งใกล้ชิด ส่วนราหูคือนามธรรม ความรู้สึกผูกพันธ์ ความหลงไหลกับสิ่งต่างๆ

ในขณะที่ เมอริเดียนและจันทร์ล้วนเป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างเจ้าชะตากับจิตภายใน

เมอริเดียนคือชั้นลึก เป็นสันดานหรือตัวตนที่แท้จริงของคน ส่วนจันทร์คือชั้นตื่น คืออารมณ์ความรู้สึกที่พร้อมจะแปลปรวนได้ตลอดเวลา

ลัคนาแท้จริงคือเรื่องเดียวกับราหู จึงใช้เป็นจุดเริ่มต้นเรือน 1 เหมือนกัน

ส่วนเมอริเดียนแท้จริงคือเรื่องเดียวกับจันทร์ จึงใช้เป็นจุดเริ่มต้นเรือน 10 เหมือนกัน

เรือนชะตาสะท้อน

การสะท้อนของเรือนชะตายูเรเนี่ยนไม่ใช่เรื่องของเรือนชะตาที่มีสภาวะตรงข้าม (แม้จะดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น) หากแต่เป็นเรื่องของเรือนชะตาที่มี "สภาวะเดียวกัน" 

เหมือนดั่งภาพเงาของตัวเราที่สะท้อนอยู่ในกระจก ก็ย่อมมีลักษณะเหมือนกับตัวเราทุกประการ แม้ว่าเงานั้นจะมิใช่ตัวเราก็ตาม

เช่นว่าในเรือนราหู (Houses of Node) ซึ่งบอกเรื่องราวของความรู้สึกผูกพันที่เจ้าชะตามีต่อสิ่งต่างๆ 

ได้กำหนดให้เรือนชะตาที่ 1 สะท้อนเรือนชะตาที่ 3

หมายความว่า ในทางปรัชญาโหราศาสตร์แล้ว เรือนชะตาที่ 1 และ 3 ความจริงคือเรื่องเดียวกัน

เพราะคนเรามีจิตสำนึกผูกพันภายในตนเองมากน้อยดีชั่วอย่างไร เขาก็ย่อมผูกพันพี่น้อง พวกพ้อง มิตรสหายของเขาเช่นเดียวกันนั้น 

ดังนั้นหากเรือน 1 ดี เรือน 3 ก็พรอยดีไปด้วย (ถ้า 3 ดี 1 ก็ดีตาม) แต่ถ้าหากเรือน 1 ชั่วเรือน 3 ก็พรอยชั่วตามไปด้วย (ถ้า 3 ชั่ว 1 ก็ชั่วตาม)

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรือนชะตาราหู เรือนชะตา 1 มีเนปจูนสถิต หมายถึงเจ้าชะตาเป็นผู้ไม่มีความผูกพันไม่มั่นคงเป็นพื้นฐาน เรือนชะตา 3 ซึ่งหมายถึงพี่น้องเพื่อนพ้องก็ย่อมรับผลกระทบจากเนปจูนในเรือน 1 นี้ตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก็เข้าสูตร "เราไม่จริงใจกับใคร แล้วใครจะมาจริงจังกับเราเล่า?" อะไรทำนองอย่างนั้น

ก็ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลให้หากเรือน 1 ไม่มีดาวก็สามารถไปหยิบยืมดาวจากเรือน 3 มาอ่านเรือน 1 แทน หรือถ้าเรือน 3 ไม่มีดาวก็สามารถไปหยิบยืมดาวจากเรือน 1 มาอ่านเรือน 3 แทน เช่นนี้เป็นต้น

เพราะโดยเนื้อแท้แล้วสองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน ถ่ายทอดถึงกันดั่งเช่นเงาสะท้อนในกระจก

สำหรับเรือนอื่นก็ทำนองเดียวกัน

เรือน 2 สะท้อนเรือน 8 คือรู้สึกหวงข้าวของทรัพย์สมบัติ(2)กับความรู้สึกสูญเสีย( 8 ) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 4 สะท้อนเรือน 12 คือความผูกพันธ์ต่อครอบครัว(4)กับการมีบ้านเล็กบ้านน้อย(12) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 5 สะท้อนเรือน 11 คือความผูกพันกับบุตรหลานหรือความรักสนุก(5)กับความผูกพันกับสหายร่วมอุดมการณ์หรือการเปิดรับความสัมพันธ์(11) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 6 สะท้อนเรือน 10 คือความผูกพันกับบริวาร(6)และความผูกพันกับตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง(10) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เรือน 7 สะท้อนเรือน 9 คือความผูกพันกับคู่ครอง(7)และความยึดมั่นต่อศีลธรรม(9) แท้จริงคือเรื่องเดียวกัน

เช่นนี้เป็นต้น


27 ดาวนักขัตฤกษ์


27 ดาวนักขัตฤกษ์


  1. อัศวินี (ม้า รูปคอม้า หางหนู) อยู่ในฤกษ์ทลิทโท ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดฤกษ์นี้ยอดกตัญญูรู้คุณในบิดา มีความรู้มาก แต่ใช้วิชาไปในทางที่ผิดหรือเสื่อมเสีย ภายหลังจะมีผู้ใหญ่ปองร้าย แต่ก็จะรอดตัวได้และได้ดีในภายหลัง ผู้ที่เกิดฤกษ์นี้มักจะขัดสนข้นแค้น และยอมทำทุกอย่างเพื่อการดำรงชีพของตน

  2. ภรณี (ก้อนเส้า ธงสามเหลี่ยม แม่ไก่) อยู่ในฤกษ์มหัทธโน ท่านพยากรณ์ว่า จะได้เป็นใหญ่แต่หนุ่มสาว ศัตรูปองร้ายก็ไม่ถึงตาย งานไปศัตรูก็จะกลับมาเป็นมิตร

  3. กฤติกา (ลูกไก่) อยู่ในฤกษ์โจโร ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้มีรูปงาม จะรอบรู้ในศิลปะศาสตร์ทั้งปวง มักสู้ครู และอกตัญญูต่อครูบิดาอาจารย์ มีผู้คิดทำร้ายก็ไม่ตาย จะผิดต่อภรรยาท่าน และจะตายด้วยกามกิเลส

  4. โรหิณี (ไม้ค้ำเกวียน คางหมู จมูกม้า) อยู่ในฤกษ์ภูมิปาโล ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้มักมีโทสะร้าย อาจถึงฆ่าบุตรของตนได้ และจะวิบากเพราะโทสะนั้น

  5. มฤคศีรษะ, มิคสิระ หรือมฤคศิระ (หัวเนื้อ เหมือนหัวเนื้อ หัวเต่า) อยู่ในฤกษ์เทศาตรี ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ซึ่งเกิดในฤกษ์นี้มักหลงใหลในสิ่งที่ตนรักจนไม่คำนึงถึงตนเอง เมื่อใกล้ตายย่อมทุกข์ทรมานมาก สิ่งใดที่เป็นของรักมากนำความทุกข์มาให้ภายหลัง

  6. อาทรา (เต่า ฉัตร) อยู่ในฤกษ์เทวี ท่านพยากรณ์ว่า จะกำพร้า แต่ต่อมาจะมีผู้อุปถัมภ์อย่างดีเยี่ยมจนได้เป็นใหญ่ มีวิชาการอันเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง

  7. ปุนวสุ, ปุนัพสุ หรือปุนรรพสุ (สำเภาทอง เรือชัย หัวสำเภา) อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ท่านพยากรณ์ว่า มักพลัดพรากไปอยู่อย่างแดนไกล จะได้คู่ครองเป็นคนต่างชาติต่างภาษาซึ่งรักใคร่กันดี มีความสามารถอันเป็นที่ยอมรับนับถือของปวงชนทั่วไป

  8. ปุษยะ(สมอสำเภา ปุยฝ้าย พวงดอกไม้ บัวหลวง)  อยู่ในฤกษ์ราชา ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะเป็นที่รักของคนทั้งปวง จะมีชื่อเสียง ทรัพย์สิน มรดกเป็นอันมาก 

  9. อาศเลศา หรืออาษเลษา(พร้อม เรือน คู้ข้อศอก แขนคู้) อยู่ในฤกษ์สมโณ ท่านพยากรณ์ว่า มักกำพร้าและมีบุตรยาก อายุไม่ยั่งยืน มักตายด้วยอาวุธ

  10. มฆา, มาฆะ (งอนไถ งูผู้ ปัสสาวะวัว วานร) อยู่ในฤกษ์ทลิทโท ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะเสียตัวตนเพราะคนลวง และจะถูกสัตว์ 4 เท้าทำลายถึงชีวิต

  11. บูรพผลคุณี (เพดานหน้า แรดตัวผู้ งูตัวเมีย) อยู่ในฤกษ์มหัทธโน ท่านพยากรณ์ว่าจะวิบัติด้วยความประมาทของตนเอง ไม่ยำเกรงต่อผู้ที่ควรเคารพ

  12. อุตรผลคุณี (เพดานหลัง แรดตัวเมีย งูเหลือม) อยู่ในฤกษ์โจโร ท่านพยากรณ์ว่า อายุจะไม่ยืน และจะต้องโทษด้วยผิดภรรยาท่าน

  13. หัสตะ (ศอกคู้ ฝ่ามือ เหนียงสัตว์) อยู่ในฤกษ์ภูมิปาโล ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้ชีวิตจะยากจนหาเช้ากินค่ำ ออกบวชเสียจึงจะดี

  14. จิตรา (ตาจรเข้ ไต้ไฟ ต่อมน้ำ) อยู่ในฤกษ์เทศาตรี ท่านพยากรณ์ว่า จะเกิดอันตรายจากสัตว์น้ำ หรือตกน้ำตาย

  15. สวาตี หรือสวาติ (ช้างพัง ดวงแก้ว กระออมน้ำ) อยู่ในฤกษ์เทวี ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะกำพร้ามารดาบิดา จะต้องเที่ยวเร่ร่อนไปยังที่ต่างๆ จัดมรณะด้วยการกินอาหารผิดสําแดง

  16. วิศาขา หรือวิสาขะ (ฆ้อง ไม้ฆ้อง เหมือง หนองลาด คันฉัตร) อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะมีปัญญารู้ศิลปศาสตร์เป็นอันดี แต่จะถูกทำโทษเพราะผิดภรรยาท่าน

  17. อนุราธา หรืออนุราธะ (ประจำฉัตร หน้าไม้ ธนูหงอนนาค หมี) อยู่ในฤกษ์ราชา ท่านพยากรณ์ว่า จะมีโรคภัยเบียดเบียนแต่น้อย โตขึ้นจะรับทุกข์ภัยต่างๆ และจะถูกยิงตาย

  18. เชษฐะ หรือเชฏฐา (ช้างใหญ่ งาช้าง คอนาค แพะ) อยู่ในฤกษ์สมโณ ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะมีสิริโฉมรูปอันงดงาม เป็นที่นิยมของคนทั้งปวง แต่วาจาจะกลับกลอก มักเห็นประโยชน์ส่วนตนเสมอ 

  19. มูละ (ช้างน้อย ท้องนาค สะดือนาค) อยู่ในฤกษ์ทลิทโท ท่านพยากรณ์ว่าจะตายด้วยผิดประเวณี

  20. บูรพาษาฒ (แรดตัวผู้ สัปคับช้าง ปากนก ช้างพลาย) อยู่ในฤกษ์มหัทธโน ท่านพยากรณ์ว่าจะมีผู้ชุบเลี้ยงให้ มักพลัดพรากจากบิดามารดา แต่น้อยมีโรคภัยมาก จะตกลงมาตายจากที่สูง

  21. อุตราษาฒ (แรดตัวตัวเมีย แตรงอน ครุฑ) อยู่ในฤกษ์โจโร ท่านพยากรณ์ว่า จะมีผู้อุปถัมภ์มาก และเป็นที่เคารพยำเกรงแก่คนทั้งปวง จะคลอดบุตรตาย หรือผิดสำแดงตาย ถ้าชายก็จะตายด้วยสตรีเป็นเหตุ

  22. ศรวณะ หรือสราวณะ (คนจำศีล หลักชัย โลง) อยู่ในฤกษ์ภูมิปาโล ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้มักหยิ่งจองหอง และจะเสียตนเพราะคนลวง

  23. ศรวิษฐะ หรือธนิษฐะ (กา ไซ) อยู่ในฤกษ์เทศาตรี ท่านพยากรณ์ว่า ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะตายเพราะความโลภ ขาดปัญญาที่จะพิจารณาถึงมรณภัยเบื้องหน้า

  24. ศตภิษัช (มังกร งูเลื้อย) อยู่ในฤกษ์เทวี ท่านพยากรณ์ว่าจะเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุ มีผู้ปองร้าย หรือถูกลอบทำร้ายจนเสียชีวิต

  25. บูรพภัทรบท (ราชสีห์ตัวผู้ หัวเนื้อทราย) อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้จะกำพร้าบิดามารดาแต่น้อย แล้วจะเป็นใหญ่ในเรือนของผู้อื่น จะมีทรัพย์เป็นอันมาก บุตรคนแรกจะเป็นหญิง จะเสียเงินทองเพราะหลงเชื่อคนลวงด้วยถ้อยคำอันหวาน

  26. อุตรภัทรบท (ราชสีห์ตัวเมีย ไม้เท้า) อยู่ในฤกษ์ราชา ท่านพยากรณ์ว่าจะถึงแก่ความวิบัติเพราะความโลภ อย่าดูหมิ่นศัตรูที่มีกำลังเหนือตน

  27. เรวตี หรือเรวดี (ปลาตะเพียน) อยู่ในฤกษ์สมโณ ท่านพยากรณ์ว่า ผู้เกิดในฤกษ์นี้มักโง่เง่าโฉดเขลา หาได้พิจารณาเห็นอันตรายเบื้องหน้าของตนไม่ จะตายด้วยสัตว์น้ำ หรือตกน้ำตาย


คำพยากรณ์ของ 27 ดาวนักขัตฤกษ์นี้เป็นคำพยากรณ์แบบโบราณ การจะนำมาใช้พยากรณ์ชีวิตคนสมัยใหม่จึงควรต้องประยุกต์เนื้อหาของคำพยากรณ์มากพอสมควร โดยทั่วไปจะใช้ฤกษ์ของจันทร์เป็นตัวออกคำพยากรณ์ แต่จะใช้ฤกษ์ของปัจจัยหรือดาวอื่นก็ย่อมได้ 


:)


วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2564

ทะเลาะกันหนักมาก


ช่วงนี้ของซัก 5 ปีก่อนชีวิตผมดราม่าหนักมาก ถึงกับตัดเพื่อนเลิกคบกันไปหลายคน แต่ผลที่ตามมานับว่าดี ชีวิตเบาขึ้นอีกมากโข

จดดวงเก็บเอาไว้ดังในรูปนี้

ในทางหลักการแล้ว ยูเรเนี่ยนจะใช้วิธีอ่านดวงเป็นชั้นๆ ไล่จากดวงกำเนิด ดวงปี จนไปสุดกันที่ดวงวันหรือดวงนาที แต่เรื่องทั่วๆไปในชีวิตนั้น ในทางปฏิบัติจริงก็มักอ่านเทียบกับจรปัจจุบันได้เลย

จะเห็น NO กำเนิด ได้ทั้ง เสาร์ มฤตยู เนปจูน ในจร แถมมี พุธ/เสาร์ ตามมาแจมอีก มิน่าช่วงดราม่ากับชาวบ้านไปทั่ว 5555555555

เฉพาะ เสาร์ มฤตยู เนปจูน นี้ความจริงคลุมเคลือ อาจตีความไปได้มากมายหลายอย่าง แต่เราก็พอประเมินได้ง่ายๆ ว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาหนักหน่วงของเจ้าชะตาพอสมควร แต่จะหนักไปทางไหน?

ในกรณีนี้เรารู้ว่าช่วงนี้ดราม่าเยอะ ความจริงก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะมีดราม่าดีกว่าเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรืออะไรอย่างอื่นที่ร้ายแรงกว่านี้

เราอาจมองตามแนวคิดเบื้องต้นที่ว่าดาวจรนั้นให้กำลังอ่อนก็ได้ คือถ้าไม่มีดวงกำเนิด ดวงปี นำทางมากก่อน ดวงจรจะร้ายอย่างไรก็ร้ายได้ไม่มาก เช่นกรณีนี้ดวงโค้งปีไม่มีอะไร ดาวจรร้ายก็เลยมาในรูปความทุกข์ร้อนใจทั่วๆไป (ซึ่งก็ดีแล้ว)

ถ้าเราดูฉากหลังประกอบไปด้วย เราจะพบว่า

เสาร์ ราศีธนู (อุดมการณ์) ส่วมฤตยู ราศีเมษ (การริเริ่ม) ก็คือทะเลาะกันเรื่องแนวคิดทางอุดมคติหรืออุดมการณ์ล้วนๆ ส่วนเนปจูน ราศีมีน (ปรัชญา) คือล้วนแล้วแต่เป็นของที่จับต้องไม่ได้ทั้งสิ้น

ทะเลาะกันเพื่ออะไรวะ? 555555

ส่วน พุธ/เสาร์ อยู่ราศีตุล (ประณีประนอม มิตรภาพ) ทำมุมกุมกับ NO กำเนิดและมีมฤตยูเล็ง จึงด่ากันหนักมาก ซัดกันแบบเสียเพื่อนกันไปเลย แต่ข้อดีคือพุธนั้นเดินเร็ว แป๊บเดียวก็ออกไป เลิกด่าแล้วโกอะเวย์กันไป

วาสนา

 


มีบางท่านถามว่า เหตุใด “วาสนา” จึงเป็นลัคนา และ “กรรม” จึงเป็นเมอริเดียน? ก็ขอตอบอย่างนี้ว่า

สำหรับเมอริเดียน หรือจุดจอมฟ้า หรือ ทศมลัคน์ นั้นเชื่อถือกันมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นจุดกรรมเก่า ตามหลักเรือนชะตาจุดเมอริเดียนก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนชะตาที่ 10 ที่มีชื่อว่ากัมมะ หรือก็คือกรรมนั่นเอง

หลักการอย่างนี้เชื่อถือกันมาตั้งแต่โหราศาสตร์อินเดีย ผมเข้าใจเอาเองว่าแนวคิดอย่างนี้โหราจารย์ยูเรเนี่ยนน่ารับอิทธิพลมาจากโหราศาสตร์อินเดียอีกที เพราะเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ค่อยปรากฏอยู่ในความคิดของคนตะวันตก(อย่าลืมว่ายูเรเนียนนั้นเกิดที่เยอรมัน) แต่จะมีมาตั้งแต่เริ่มแรกหรือรับเพิ่งรับกันมาในรุ่นหลังหลังอันนี้ก็สุดปัญญาจะตอบได้

สำหรับลัคนานั้น โดยเบื้องต้นยูเรเนียนให้คำนิยามว่า “สิ่งแวดล้อมใกล้ชิดซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของเจ้าชะตาโดยตรง” ความจริงเพียงแค่ความหมายตรงนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุใดลัคนาจึงหมายถึงวาสนา

ลองนึกถึงคนที่เกิดมาในสังคมเมืองใหญ่ในครอบครัวมั่งคั่งมีชีวิตสมบูรณ์พร้อมและสุขสบาย แล้วก็นึกถึงอีกคนหนึ่งซึ่งโตมาในสังคมบ้านป่าเมืองเถื่อน

เฉพาะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างนี้ก็คงเพียงพอแล้วอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้ความคิดความอ่านและบุคลิกภาพของคนทั้ง 2 นี้มีความแตกต่างกัน ดังนั้นโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จตามที่คิดหวัง แม้แต่จริตกิริยามารยาท หรือปัญญาซึ่งเกิดจากการได้รับการศึกษาก็ย่อมแตกต่างกันได้มากทีเดียว

ก็นี่แหละคือวาสนาของคนที่แตกต่างกัน

สรุปคือสิ่งแวดล้อมดีก็คือเกิดมาวาสนาดี สิ่งแวดล้อมแย่ก็คือเกิดมาด้วยวาสนา

ก็ขอจบง่ายๆอย่างนี้แหละ


ยามอุบากอง

  • “ศูนย์หนึ่ง อย่าพึงจร แม้นราญรอน จะอัปปรา
  • สองศูนย์ เร่งยาตรา จะได้ลาภสวัสดี
  • สี่ศูนย์ พูลสวัสดิ์ ลาภไม่ขัด ภัยบ่มี
  • กากบาท ตัวอัปรี แม้นจรลี จะอัปรา
  • ปลอดศูนย์ พูลผล แม้นจรดล จะสุขา”

ยามอุบากอง อาร์ตเวิร์คตามภาพต้นฉบับ จากปกหนังสือ โหราเวสม์ ฉบับที่ 93

ดวงถูกระเบิดตาย


ระเบิดนั้นเป็นไฟซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลัน เพราะฉะนั้นจึงใช้ UR/ZE เป็นตัวแทน หรือถ้าคิดว่ามันยังกว้างเกินไปต้องการให้เป็นระเบิดอย่างแท้จริงมากกว่านี้ก็อาจจะเติม VU เพิ่มเข้าไปอีกซักตัวเป็น UR+ZE-VU หรือ ZE+VU-UR อะไรทำอย่างนี้

สำหรับดวงชะตานี้แหล่งต้นทางว่าเสียชีวิตเพราะถูกระเบิด เรื่องตายปีไหนเดือนไหนนั้นตัดทิ้งไปก่อน สนใจแค่เรื่องโดนระเบิดตายกันก่อนก็พอ

ความจริงระเบิดเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะไม่ใช่ว่าจะเจอกันโดยทั่วไปได้ในชีวิตของทุกคน ดังนั้นเรื่องพิเศษหรือสำคัญขนาดนี้จึงควรปรากฏอยู่ในพื้นชะตา นี่ว่ากันตามหลักการพื้นฐานทั่วไป

ในดวงชะตานี้ทดลองตั้ง UR/ZE จะพบว่าถึง MO = NO = VE = VU

นั่นหมายความว่ามีสมการ UR+ZE-VU หรือ ZE+VU-UR ซ้อนทับอยู่ในแกนนี้เองตามธรรมชาติ และที่สำคัญคือมี MO และ NO ที่ล้วนเป็นจุดเจ้าชะตาสำคัญร่วมอยู่ในแกนนี้ด้วย

ลองมาแบบนี้แล้วเรื่องที่ว่าเจ้าชะตาเจอระเบิดก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรอีก เพราะถึงจุดเจ้าชะตาตั้ง 2 ตัว

แต่ประเด็นก็คือ การอ่านดวงโดยเอาเหตุการณ์เป็นตัวตั้งแล้วเอาดวงชะตาย้อนเข้าไปหาอย่างนี้เราสามารถทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นการหาความสอดคล้องกันระหว่างดวงชะตากับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการฝึกอ่านดวงชะตา

แต่ถ้าเราในแง่ของการพยากรณ์ล่ะ?

เช่นสมมุติว่าเราไม่ทราบมาก่อนว่าดวงนี้เจ้าชะตาเจอระเบิดมานะ ไม่ใช่การพิสูจน์แต่เป็นการอ่านทั่วไป ลำพังเพียงแต่อ่านดวงชะตาเฉยๆ เราจะสามารถมองเห็นหรือไม่ดวงนี้จะต้องเจอระเบิดซักวันในชีวิต

ว่ากันตามจริงเพียงแต่อ่านแกน NO หรือ MO ก็สามารถเห็นโครงสร้างนี้ได้ไม่ยาก

แต่จะตีความหมาย จะกล้าทายหรือเปล่า?

ตรงนี้แหละ คือศิลปะในการอ่านดวงชะตา เป็นเรื่องของประสบการณ์ล้วนๆ หรืออาจจะมองว่าเป็นเรื่องของสภาวะจิต(ญานรู้)ในขณะอ่านดวงก็ย่อมได้

ดวงตายทั้งกลม


ดวงนี้ท่านว่าเจ้าชะตาเป็น ญ. เสียชีวิตขณะคลอดบุตร เรียกว่าตายทั้งกลมก็น่าจะพอได้ ซึ่งคนโบราณท่านถือว่าเฮี้ยนนักหนา มาสมัยนี้การสาธารณะสุขดีกว่าแต่ก่อนมาก ลักษณะทำนองนี้จึงน้อยลงไปเยอะ

ดวงชะตานี้เปิดมา เห็น SU = HA = AD จับกันเป็นกลุ่ม นอกจากนี้ MO ก็ยังถึง AD นี่เริ่มเปิดเรื่องมาอย่างนี้ก็ชักไม่ค่อยดีแล้ว

การให้กำเนิดบุตรนั้นโดยมากมักใช้ MA/JU หรือ SU/ZE เป็นตัวแทน

เราลองตั้งแกนทั้งสองในดวงชะตาก็จะพบว่า

MA/JU = NE ในขณะที่ SU/ZE = NO = PO = HA = AD เฉพาะ HA กับ AD นั้นสัมพันธ์ถึงในมุมอ่อน ส่วน PO นั้นเคยกล่าวถึงหลายครั้งแล้วว่านอกจากจะหมายถึงปัญญาบริสุทธ์หรือศาสนาแล้วก็มักเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของความตายอยู่เป็นประจำ

สรุปว่าทั้ง MA/JU และ SU/ZE ล้วนมีปัญหา

คราวนี้ลองตั้งแกน MA/SA (มรณะ)ดูบ้างจะพบว่า MA/SA = UR = CU ดูเหมือนอะไรๆ มันจะชี้มาทางนี้กันหมดในขณะที่แกน MA+SA-NO = NO เข้าสูตรตัวเบิ้ลกันเลยทีเดียว

สรุปการอ่านจาน 90

 


Lunar Arc


การอ่านดวงรายปีนั้นโดยมากใช้ Solar Arc หรือโค้งสุริยยาตร์เป็นเครื่องมือพยากรณ์

ความจริงนอกจาก Solar Arc หรือโค้งสุริยยาตร์แล้วก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Lunar Arc หรือโค้งจันทรยาตร์ ซึ่งเป็นเครื่องเป็นมือในการพยากรณ์รายเดือน

หลักคิดเรื่อง Lunar Arc นั้นก็เป็นไปทำนองเดียวกับ Solar Arc คือแปลวงรอบพระจันทร์ 1 รอบเป็นค่า 1 องศาแล้วบวกเพิ่มเข้าไปในดวงกำเนิด

ดังนั้นดวง Lunar Arc จึงเป็นดวงกำเนิดที่หมุนเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามอายุขัยทำนองเดียวกับ Solar Arc แต่มีรอบที่เร็วกว่า

และเนื่องด้วยรอบที่เร็วของมันนี้เอง ทำให้ถ้าเราอ่าน Lunar Arc เทียบกับดวงกำเนิดแล้วเราจะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเมคเซนต์ซักเท่าไหร่ เพราะชีวิตของเราในแต่ละเดือนปีมันจะเป็นวงจรวนไปเรื่อยๆ ซึ่งชีวิตคนเราเอาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นวงจรซ้ำซากอะไรขนาดนั้น

จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วพบว่าวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่

ดังนั้นในทางปฏิบัติจริง ดวง Lunar Arc จึงควรให้น้ำหนักในการอ่านเทียบกับดวงจร Transit มากกว่า แต่ก็ไม่ไม่ถึงกับว่าทิ้งการอ่านเทียบดวงกำเนิดไปเสียทีเดียว

ดวงตำรวจ ยิงคนตาย ติดคุก


ดวงชะตานี้มาจากหนังสือวิจารย์ดวงของ อ.อารมณ์ ชื่นเชาว์ไว ต้นทางท่านว่าเจ้าชะตาเป็นตำรวจ แต่ต่อมาเกิดอีท่าไหนไม่ทราบ กลายเป็นคนร้ายฆ่าคนตาย ก็ติดคุกติดตารางกันไปตามเรื่อง

ดวงนี้ SU = CU ก็น่าจะเป็นคนเข้าคนง่าย อย่างน้อยชีวิตก็มักมีเหตุให้ต้องพบเจอต้องเข้ากลุ่มสมาคมกับคนอื่นอย่ตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็ถึง SA ด้วยในเวลาเดียวกัน

ถ้ามองว่า SU = CU นี้แปลว่าเจ้าบ่าว ก็คงต้องเป็นคนแต่งงานช้าซักหน่อย ไม่งั้นแต่แล้วจะทุกข์ใจ

SU = SA นี้แปลว่าชายแก่ ชายที่มีความทุกข์ มีความอดทน เวลาอ่านดวงถ้าไม่รู้ดวงใครเราก็ทายกว้างๆไว้ก่อน โดยเฉพาะการอ่านพื้นชะตา

ส่วน MO นั้นถึง HA ค่อนข้างสนิทองศา เรื่องอารมณ์นั้นร้ายกาจแน่นอน หรืออาจมองว่าเสื่อมทรามเพราะอารมณ์ตัวเองก็ย่อมได้

ถ้าเรามอง MO ในเชิงบุคคล เช่นแม่หรือภรรยา ตรงนี้ก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าหมายถึงแม่หม้ายหรือหญิงพิการได้จะดีกว่า เพราะความหมายที่เหลือไม่สู้ดีนัก

ความเจริญในชีวิตคน ท่านว่าให้ดู JU ดวงนี้ JU = KR ก็สมควรแล้วที่ได้รับราชการทหาร นอกจากนี้ยังถึง ME ด้วย คือมีโชคจากคำพูดคำจา ความคิด หรือการติดต่อสื่อสาร

ความจริง JU ยังเกือบจะถึง MC ด้วย ขาดเกินไปเพียงไม่กี่องศา แต่เรื่องเวลาเกิดนั้นไม่ค่อยชัวร์ก็ละไว้ก่อน

ส่วนความทุกข์ของคนนั้นท่านให้พิจารนาที่ SA

ก็ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าดวงนี้ SU ถึง SA

ความจริง SA (และ SU) นี้ยังมี VU เข้ามาร่วมด้วย

เฉพาะ SA/VU นี้ความจริงความหมายตรงๆเลยถูกจับกุม ถูกกุมขัง เสียอิสระภาพไปไหนไม่ได้ เมื่อ SA/VU = SU นี่ก็แปลตรงๆเลยว่านักโทษชาย ตรงกับท้องเรื่องเลย

แต่ในทางปฏิบัติจริงถ้าไม่รู้กันมาก่อนว่าดวงใครเราก็คงไม่แปลอะไรหนักข้ออย่างนั้น แปลกลางๆว่ามักต้องอยู่เวรยาม หรือมักต้องแบบภาระหนักๆ ไว้ก่อนก็พอ เว้นกินดีหมีหัวใจมังกรมาก็จัดเต็มไป ถ้าโดนก็ดัง ไม่โดนก็เปลี่ยนเรื่องคุย 😑

ในกรณีนี้เรารู้มาก่อนแล้วว่าเจ้าชะตาก่อดคีติดคุก ก็อาจจะลองครอสเช็คที่แกนอย่างอื่นที่แปลว่าติดคุกอีกครั้ง เช่น SA/HA ในดวงนี้ก็จะพบว่า SA/HA = PL = AD

เฉพาะ SA/HA = PL นี่น่าเป็นห่วงเพราะ PL แปลว่าหลายหน ซ้ำๆซากๆ แสดงว่าโอกาสเดินเข้าเดินออกก็มากอยู่ซักหน่อย

ความจริงถ้าเราดูต่อไปในระดับศูนย์รังสี จะพบว่า SA/HA = MO/CU = MO/VU = MC/MA = MC/VE มองรวมๆแล้วมีก็โอกาสสูงทีเดียวที่จะชะตาจะเข้าคุกเพราะเรื่องชู้สาว แต่ตรงนี้เราไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดก็ละไว้เป็นข้อสังเกตเฉยๆ

และจะขอปิดด้วยแกน HA/VU ในดวงชะตาเพราะมีความหมายโดยตรงว่าฆาตกรรม ในดวงชะตานี้จะพบว่า HA/VU = PO = SU/MO

ก็เรียกว่าไม่ธรรมดากันเลยทีเดียว

ดาวโคจรไปสู่และค่าโค้งอายุ


ดวงนี้ SA จรไปสู่ SU ห่างกันไปประมาณ 6.5 องศา ปรากฏว่าช่วงที่เจ้าชะตาอายุประมาณ 7 ขวบ บิดาของเจ้าชะตาประสบอุบัติเหตุหนัก ชีวิตตอนนั้นตกระกำลำบากมากพอสมควร

ส่วนมารดาก็ขึ้นมาเป็นหัวหลักหัวแรงของครอบครัวแทน ก็พอดีกับ MO จรไปสู่ ZE และ MC ซึ่งห่ากันประมาณ 6.5 องศาเช่นกัน

ดวงผู้กำกับหนุ่มคนดัง


ดวงนี้ของนายตำรวจหนุ่มคนที่เป็นข่าวดังโคตรๆ อยู่ในนี้ สำหรับวันเดือนปีกำเนิดนั้นท่าไป google เอาเถิด แป๊บเดียวก็เจอ ส่วนเวลากำเนิดนั้นเล่าลือกันว่าใกล้ๆเวลาเที่ยงไม่กี่มากน้อย เท็จจริงผมก็ไม่ทราบเพราะฉะนั้นตั้งไปที่ 12.00 ตามหลักนิยมก็ไม่น่าเกลียด ว่าแล้วตัด MC และ AS ออกจากดวงชะตาตามหลักนิยมอีกเช่นกัน

ตำรวจสันติบาลนั้น ตำราท่านกำหนดไว้ชัดเจนว่าคือ HA/KR

ทำต้อง HA/KR อันนี้ตีความได้มากมายหลายประการ เพื่อความสงบสุขในชีวิตของข้าพเจ้าก็เอาเป็นว่า HA/KR แปลว่าตำรวจสันติบาลก็แล้วกัน 😑

ดวงนี้ถ้าเราตั้งแกนไปที่ HA/KR เพื่อดูชีวิตในแง่มุมนี้ของเจ้าชะตา ท่านจะพบ HA/KR = PL

ผมเคยเขียนถึงบ่อยๆ ว่าคนเป็นข้าราชการนั้นถูกโฉลกกับ PL เพราะแปลว่าพัฒนาการ(ที่ไม่ใช่ชื่อถนน) PL จึงช่วยให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งได้สะดวกรวดเร็วดังใจหมาย แต่จะเร็วเพราะอะไรยังไง ต้องป้อนอ้อยไปกี่กำมืออันนั้นอีกเรื่องนึง

กรณีของเจ้าชะตานี้ก็จะเห็นว่ามีพัฒนาการดีไม่น้อย อายุ 39 ปีต้นๆ ก็เป็นระดับผู้กำกับแล้ว (ท่านพ่อตาของแอดมินตอนอายุ 60 ไปได้ไกลสุดก็แค่ผู้กำกับจนๆ นี่แหละ 😑 )

นอกจากนี้เราจะเห็น HA/KR = PO ด้วย โดยค่าวังกะสุดตลิ่ง 1 องศาพอดี

และถ้าสังเกตดีๆ จะเห็น HA/KR = AP แบบสนิทองศาด้วย อันนี้แหละให้คุณประโยชน์นักหนา

สำหรับรายละเอียดอื่นๆ สามารถแปลเอาได้จากบรรดาศูนย์รังสีที่ทำมุมถึงแกนนี้ ค่อยๆแปลไปทีล่ะคู่ ปะติดปะต่อข้อมูลไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย ใครสะดวกก็ค่อยๆ แปลกันไป ซึ่งตรงนี้ก็จะขอละไว้ ขอโหนแต่พองามก็แล้วกัน

A/B and A+B-C

ศูนย์รังสี (Halfsum) หมายถึงจุดหรือตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างดาว 2 ดวง

ถ้าเขียนเป็นสูตร ก็จะเขียนได้ว่า (A+B)/2

โดย A และ B ก็คือค่าจำนวณองศาของดาวแต่ละดวง

เช่นดาว A อยู่ในตำแหน่ง 100 องศา (วัดจากจุดเริ่มต้นคือ 0 องศาราศีเมษ) ส่วนดาว B อยู่ตำแหน่ง 200 องศา

เพราะฉะนั้นจุดศูนย์รังสีของ A และ B ก็คือตำแหน่ง 150 องศา

มาจาก (100+200)/2 ตามค่าในตัวอย่าง

แต่ครั้นจะเขียนเป็น (A+B)/2 ก็แลดูรกรุงรังชมัด ในทางปฏิบัติจริงจึงย่นย่อเหลือ A/B พอ โดยเป็นที่รู้กันว่าไอ้เจ้า / ตรงกลางนั้นแทนตำแหน่งกึ่งกลางพอดีระหว่างปัจจัยทั้ง 2

ความหมายของ A/B ก็คือเอาความหมายของ A และ B มาผสมกัน

คราวนี้ก็ยังสิ่งที่เรียกว่า จุดไหวตัว หรือ จุดอิทธิพล ก็แล้วแต่จะเรียก เป็นการเอาดาว 3 ดวงมาผสมกัน มักจะเขียนในรูปสมการ A+B-C

ความจริง A+B ในสมการ A+B-C นั้นก็คือตำแหน่งของจุดศูนย์รังสีของ A และ B

คือเป็น (A+B)/2 ไม่ใช่ A+B เฉยๆ

(100+200)/2 กับ 100+200 เฉยๆ นี่คนล่ะตำแหน่งกันเลย

แต่เพื่อความสะดวก ย่นย่อก็เขียนเป็น A+B ก็พอจะเข้าใจกันในหมู่นักยูเรเนี่ยน โดยที่ไม่ยักกะเขียนว่า A/B-C ด้วย

ส่วน -C คือตำแหน่งของดาวอีกดวงหนึ่ง(ดวงที่ 3) ที่เอาไปสะท้อน โดยใช้ศูนย์รังสีของ A และ B เป็นแกนสะท้อน

คำว่าแกนสะท้อนในที่นี้หมายถึงใช้จุดเริ่มต้น

เริ่มต้นอะไร? ก็คือเริ่มต้นวิ่งถอยหลัง การวิ่งถอยหลังนี่คือการสะท้อน

คือเอาศูนย์รังสีของ A และ B เป็นจุดเริ่มต้นนับ 0

จากนี้ก็วัดไปหาดาว C ว่าได้กี่องศา

ไม่ว่าจะกี่องศาก็ตาม ก็ให้วัดย้อนไปอีกทางด้วยจำนวณองศาที่เท่ากัน เราก็จะได้ตำแหน่งของจุดไหวตัว A+B-C

เช่นวัดจากศูนย์รังสีของ A และ B ไปยังดาว C ได้ 100 องศา

เพราะฉะนั้นที่ตำแหน่ง -100 องศาที่เริ่มวัดจากดาวศูนย์รังสีของ A และ B นั่นแหละคือตำแหน่งของ A+B-C

โดยความหมายของ A+B-C ก็คือการผสมกันของความหมาย A B และ C เข้าด้วยกัน

โดยอาจจะแปลคู่ A+B เสียก่อน แล้วค่อยเอาความหมายของ C เข้าไปขยายอีกที

อะไรประมาณนี้ ..... ไม่งงนะ

😎

เครื่องขุดบิตคอยน์

วันก่อนคุยกันในห้องเรียนเล่นๆ ก่อนเลิกเรียนว่าถ้าการซื้อหวย เล่นหุ้น ปั่น Forex เทรดคริปโต สายลุ้นสายเก็งกำไรทั้งหลาย คือ JU/NE

แล้วถ้าอย่างนั้น "เครื่องขุดบิตคอยน์" นี่ควรจะเป็นดาวอะไร?

ความจริงไปเปิดดูเถอะ ในคัมภีร์พระคราะห์สนธิ คำว่าเครื่องขุดบิตคอยน์อะไรนี่เปิดหน้าใหนก็ไม่เจอทั้งนั้น เพราะมันเป็นของเกิดใหม่ขึ้นมาบนโลกเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง

ลักษณะอย่างนี้ถ้าจะเอาให้ได้ก็ไม่พ้นต้องสนธิดาวขึ้นมาเอง

ก็เลยตอบไปว่า JU/UR (มั๊ง)

ก็คือโชคจากไฟฟ้า เพราะเครื่องพวกนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก แทบจะแปลงค่าไฟที่ใช้ไปออกมาเป็นกำไรกันเลยทีเดียว

ถ้าจะเอาแบบ A+B-C ก็คง UR+ZE-JU (มั๊ง) เพราะลำพัง UR+ZE หมายถึงมอเตอร์ไฟฟ้า มีทั้งไฟฟ้ามีทั้งเครื่องจักรเอามาผสมกัน หรืออาจจะใช้ UR+HA-JU ก็คงจะได้(มั๊ง) เพราะ UR+HA คือไฟฟ้าซึ่งน่ารังเกียจ เพราะเครื่องพวกนี้กินไฟไม่ว่าแต่เสียงมันดังมาก รบกวนข้างบ้านจนอาจไปร้องเรียนเทศบาลกันได้ง่ายๆ ไม่ HA อย่างไรไหว

ก็คิดกันไปเรื่อยล่ะนะ ในเมื่อของมันไม่มีในตำรา ก็คิดตีความหมายกันไปตามความเข้าใจของแต่ละคน ซึ่งไม่มีผิดถูก

เพราะต่อให้ไปปลุกวิญญาณวิตเต้มาถามแกก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้เครื่องบ้านี่มันคืออะไร

คำถามต่อมาที่สำคัญก็คือ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ที่ว่าๆ มาทั้งหมดนี้มันถูกต้องใช้งานได้?

สำรับข้อนี้ตอบได้ไม่ยากเลยว่า "สถิติ" ล้วนๆ

อยากรู้ก็ต้องเก็บสถิติกันต่อไป ไม่มีอะไรมากกว่านั้นในโลกของโหราศาสตร์

Free Will (เจตจำนงเสรี) 2

เวลาไปดําน้ำสน็อกเกิ้ลดูประการัง โดยเฉพาะตามร่องน้ำต่างๆ กระแสน้ำจะพัดแรงกว่าที่อื่นๆ

ถ้าเราว่ายน้ำทวนกระแสก็จะต้องใช้แรงมาก จึงทำให้เหนื่อยมาก บางทีตีขาอยู่นานสองนานก็ยังไปไหนได้ไม่สู้ไกลนัก แต่ถ้าว่ายตามกระแสน้ำก็จะเบาแรง ตีขาไม่กี่ทีก็ไปฉิวแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ทุกคนน่าจะเข้าใจกันดี

การเลือกว่ายตามกระแสน้ำจึงดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การที่เราคอยแต่จะว่ายตามกระแสมันก็ไม่ใช่ของดีเสมอไปนัก โดยเฉพาะช่วงนี้กระแสน้ำแรงมากเป็นพิเศษ ทำให้บางทีไกด์ก็จะคอยเตือนให้ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าพลาดท่าขึ้นมาก็มีหวังถูกกระแสน้ำพัดหายไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน

จังหวะจะโคน การรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ผสมผสานกันไประหว่างการผ่อนแรงตามกระแสและออกแรงทวนกระแส รวมไปถึงการเลือกทิศทางที่เหมาะสมในแต่ละช่วงจังหวะจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ผมมักอธิบายเปรียบเทียบง่ายๆว่า ดวงชะตานั้นไม่ว่าจะดวงกำเนิดหรือดวงจรก็ตาม มันก็คือแผนผังซึ่งจะแสดงกระแสในร่องน้ำที่เจ้าชะตาจะต้องลงไปแหวกว่าย

สำหรับคำถามที่ว่าทำไมกระแสในร่องน้ำจึงพัดไปทางนั้นทางนี้? หรือแม้แต่ทำไมเราจึงต้องไปว่ายวนอยู่ในร่องน้ำแห่งนั้น?

เราอาจจะตอบว่านั่นเป็นผลจากกรรมเก่าหรือกรรมจากอดีตชาติของเราก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ผมไม่รู้หรอกว่าข้อสรุปนี้มีความจริงมากน้อยขนาดไหน แต่มันก็ง่ายดีหากเราจะตัดบทสรุปไปอย่างนั้น

เพราะกรรมดีจึงได้อยู่ในร่องน้ำสวยๆ และเพราะกรรมชั่วจึงต้องมาอยู่ในร่องน้ำที่ดำมืดแล้วเชี่ยวกราก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การที่จะเราจะตัดสินใจว่ายไปทางซ้ายไปหรือทางขวา จะว่ายตามกระแสหรือว่ายทวนกระแส ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่ Free will (เจตจำนงเสรี) ของเราทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับเวรกรรมแต่อย่างใด

สมมุติเราเดินไปบนถนนแล้วเจอพอดีไปแบงค์พันตกอยู่ การได้พบแบงค์พันนั่นก็คือกระแสน้ำ คือกรรมเก่า คือดวงชะตาหรือโชคชะตาที่ชักนำให้ต้องไปพบเจอกัยเหตุการณ์เหล่านั้น

แต่การตัดสินใจว่าจะก้มเก็บหรือเดินผ่านไปเฉยๆ หรือทำในสิ่งดีหรือสิ่งชั่ว ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องของ Free will ของแต่ละคนล้วนๆ ของเก่าไม่เกี่ยว

ชีวิตจริงของคนเราจึงเป็นเรื่องของการหักลบหรือบวกเพิ่มระหว่าง ดวงชะตา(กรรมเก่า)กับ Free will(กรรมใหม่)

นี่ก็อาจจะทะลึ่งเขียนออกมาเป็นสูตรเก๋ๆ อย่างนี้ก็ได้

กรรมเก่า/กรรมใหม่ = เส้นทางของชีวิต

และถ้าเรายึดเอาตามหลักการที่กล่าวมาแล้วนี้มาเป็นคำอธิบาย ดังนั้นสำหรับเรื่องที่ว่า "ดวงโจรก็ต้องเป็นโจรจะเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่" นั้น ก็ต้องบอกว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ดวงโจรไม่เป็นโจรก็ได้ เป็นอย่างอื่นที่ดีกว่านั้นแทนก็ย่อมได้

เพราะถึงดวงโจรก็มี Free Will

มีอิสระที่เลือกทำกรรมดีกรรมเลว

เพราะที่ว่าดวงโจรนั้น ก็คือกระแสในร่องน้ำ คือแรงผลักดันเกื้อหนุนจากกรรมเก่า หากเผลอไม่รู้เท่าทันมันก็ย่อมพัดพาเราไปได้ใกลถึงไหนต่อไหน และมันก็ง่ายกว่าด้วยที่จะว่ายตามกระแส

แต่ก็ใช่ว่าจะว่ายทวนไม่ได้

เพราะเราทุกคนล้วนมี Free will มีสติ มีปัญญา มีความสามารถในการรู้จักดีชั่ว มีอิสระในการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ

แม้จะเป็นอิสระในกรอบหรือขอบเขตอันหนึ่งก็ตาม

Free will (เจตจำนงเสรี)

คำว่า Free will นั้นภาษาไทยเรามักใช้คำว่า "เจตจำนงเสรี" หมายถึงความสามารถในการเลือกกระทำสิ่งหนึ่งจากการกระทำต่างๆ ที่เป็นไปได้ โดยที่ไม่ถูกบังคับ

เช่นเราเดินไปบนถนน เจอแบงค์พันตกอยู่ เราย่อมมีความสามารถในการเลือกได้อย่างอิสระว่าจะก้มลงไปเก็บ หรือจะเดินผ่านไปเฉยๆ และถ้าก้มเก็บแล้วจะเอาเงินตรงนั้นไปตามหาเจ้าของที่แท้จริงของมันหรือจะเก็บเข้ากระเป๋าไว้ใช้เอง

ไม่ว่าจะเลือกทางใด ทั้งหมดนี้คือ Free will หรือ เจตจำนงเสรี ของเรา

ความจริง Free will เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกวันนี้ในแวดวงจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ ปรัชญา ตลอดจนไปถึงประสาทวิทยา ก็ยังคงถกเถียงกันไม่จบว่าแท้จริงแล้วเรามี Free will หรือไม่

เรื่องทางวิชาการอย่างนั้นคงต้องถกเถียงกันต่อไปอีกยาว แต่โดยเบื้องต้นแล้วของตัดบทสรุปง่ายๆ ว่า "มี" ก็แล้วกัน เพราะชุดความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตมากกว่า เพียงแต่ในความเป็นจริงนั้น Free will ของแต่ละคนอาจไม่ได้อยู่ในปริมาณที่เข้มข้นตลอดเวลา

บางช่วงเวลาเราก็มี Free will เต็มที่ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ และแต่ปัจจัยแวดล้อม โดนในสถานการณ์ทั่วไป เรามี Free will เอาไว้ใช้กันทุกคนแน่นอน

แล้ว Free will มาเกี่ยวอะไรกับโหราศาสตร์?

เกี่ยวแน่นอน ในเมื่อหลักการคลาสสิกของวิชาโหราศาสตร์นั้นระบุว่า

"สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏในดวงชะตา โดยเฉพาะในดวงชะตากำเนิดนั้น ย่อมต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเจ้าชะตาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้"

หลักการพื้นฐานอย่างนี้เองที่ทำให้เกิดชุดความคิดทำนองดวงชะตาคือลิขิตของชีวิต ซึ่งดูจะขัดแย้งกับเรื่องของ Free will อย่างสุดโต่งเลยทีเดียว

ว่ากันอย่างง่ายๆ คือ เกิดมาดวงโจรก็ต้องเป็นโจร จะเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่

ฟังแล้วหดหู่ชมัด

😅

(ยังมีต่อ)


:)