วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ดวงหวยออกแล้ว

 

การอ่านดวงแบบหวยออกแล้วบางคนเขาก็เย้ยหยันกันนัก เห็นว่าไร้ประโยชน์เพราะมันก็แค่พยามมองหา "อะไรได้" ในดวงชะตาที่จะรองรับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว 

ยิ่งในยูเรเนี่ยนยิ่งดูเหมือนจะง่าย เพราะมีปัจจัยและโครงสร้างต่างๆ ตั้งมากมายเหลือคณานับในดวงชะตา สุดแต่ใครจะตาไวหยิบตรงไหนมายัดเข้าไปเท่านั้นเอง

เรื่องนี้ผมมักบอกกับนักเรียนผมอยู่เสมอว่า อย่าได้นึกดูถูกการ "ฝึก" อ่านดวงหวยออกแล้วเลย เพราะสาระสำคัญของมันจริงๆ ก็คือ

"อดีตเป็นอย่างไร อนาคตย่อมเป็นเช่นนั้น"

และแน่นอนว่า

"อ่านอดีตอย่างไร อ่านอนาคตก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน"

ทักษะในการมองหาอดีตมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเราต้องมองไปยังอนาคต หากแม้แต่อดีตซึ่งเป็นเรื่องของเหตุการณ์ที่นิ่งแล้วยังหาไม่เจอ เรื่องอนาคตซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่นิ่งก็คงไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง

การฝึกอ่านดวงประเภทหวยออกแล้วนั้น ความจริงนอกจากจะไม่ไร้สาระแล้วยังเป็นเคล็ดลับสำคัญในการพัฒนาทักษะในการอ่านดวงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

เพียงแต่เราต้องเข้าใจจุดประสงค์ของมันว่า มันมีเพื่อ "ฝึกฝน" ไม่ใช่ "โอ้อวด" ว่าตัวเองทำนายแม่นยำ

ความหมายขอดดาว

ในวิชาโหราศาสตร์ มีการกำหนดให้ดาวแต่ละดวงมีความหมายเช่นเดียวกับภพเรือนต่างๆ เช่นให้ดาวศุกร์เป็นตัวแทนของเรือน 7 (คู่ครอง) พฤหัสเป็นตัวแทนของเรือน 9 (ความดีงาม) หรือดาวอังคารเป็นตัวแทนของเรือน 6 (อริ) เป็นต้น

(รายละเอียดในเรื่องนี้อาจแตกต่างออกไปตามแต่วินิจฉัยของแต่ละสำนัก)

ในวิชาโหราศาสตร์อินเดียเรียกว่าการกะ ส่วนตำราอาจารย์พลูหลวงเรียกว่าดาวโลกธรรม

ในวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนนั้นกำหนดให้ดาวแต่ละดวงมีความของมันโดยตรง โดยไม่ต้องไปอ้างอิงกับภพหรือเรือนอีก ลักษณะอย่างนี้ก็ทำให้การกำหนดความหมายให้กับดาวแต่ละดวง(หรือปัจจัยโหราศาสตร์อื่น)เป็นไปโดยสะดวก คล่องตัว และเป็นเอกเทศน์โดยไม่ต้องเสียเวลามาอ้างอิงกับเรื่องภพเรือนอีก

ไม่ว่าจะโดยหลักการใดก็ตาม การกำหนดให้ดาวแต่ละดวงมีความประจำตัวนั้น ช่วงทำให้เกิดช่องทางในการสร้างคำพยากรณ์ได้มากยิ่งขึ้น โดยการเอาความหมายของดาวหรือปัจจัยเหล่านั้นมาผสมกันเป็นคำพยากรณ์ได้ในทันทีหากอยู่ในเงื่อนไขที่ปัจจัยหรือดาวเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์ถึงกันได้ (เช่นอยู่เรือนพื้นที่เดียวกัน หรือทำมุมสัมพันธ์ถึงกัน) โดยที่ไม่ต้องไปสนใจเลยว่าจะอยู่เรือนอะไร (ยูเรเนี่ยนพระเคราะห์สนธิ)

เช่นเมื่อเห็นดาวศุกร์อยู่ร่วมราศีกับดาวเสาร์ (สำหรับดวงราศีจักร) เราอาจจะก็ออกคำพยากรณ์ไปได้ในทันทีว่าเจ้าชะตานี้ทุกข์หรือต้องพลัดพราก(เสาร์)เรื่องความรัก(ศุกร์) หรือมีความรัก(ศุกร์)ตอนแก่(เสาร์) หรืออาจทายว่ารัก(ศุกร์)คนแก่(เสาร์)ก็ย่อมได้

นี่ก็คือการเอาความหมายของดาวมาใช้ผสมกัน โดยเรายังสามารถเอาคุณสมบัติในเรื่องของภพเรือน ดาวเจ้าเรือน ดาวทำมุม หรืออื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนขยายให้กับพยากรณ์ได้อีกด้วย

เรื่อยๆเปื่อยๆ ้กี่ยวกับดาวอังคาร


ดาวอังคาร(MA)ดวงเดียวนั้นตีความหมายได้มากมายหลายอย่าง โดยทั่วไปอังคารหมายถึงงานที่ทำ แต่จะแปลว่าอาชีพเสียทีเดียวก็ไม่เชิงนัก ในทางบุคลิกอังคารคือความ Aggressive ความความกระตือรือร้นในการพุ่งออกไปข้างหน้า คือ Action ที่แสดงออกในสังคม

ถามเรื่องเกี่ยวกับการงานหรืออาชีพจึงมักไปพิจารณากันที่อังคาร แต่ทางปฏิบัติจริงก็มักต้องพิจารณาพฤหัส(JU)ประกอบไปด้วย เพราะพฤหัสคือโชค คือการขยายตัวของชีวิต รวมถึงเรื่องของเงินทองทรัพย์สิน คนเราสมัยนี้ทำงานก็เพื่อเงินทอง งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ก็มักจะพูดกันสนุกๆ กันจนติดปากกันมาอย่างนี้ซึ่งเราปฏิเสธก็คงไม่ได้

อังคารนั้นมาเจอเสาร์เมื่อใดมองมองว่าไม่ดี โหราศาสตร์คลาสสิกมีดาวน้อยก็มองว่าทั้งอังคารและเสาร์นั้นเป็นดาวร้ายทั้งคู่ ส่วนยูเรเนี่ยนมีดาวเยอะเลยลดความรุนแรงของอังคารลงเป็นดาวกลางๆ ไม่ร้ายไม่ดี แล้วแต่ไปเจอกับอะไร

อังคารเจอเสาร์ (MA=SA) โดยทั่วไปทายว่า “มรณะ” คือเป็นกิจกรรมของความพลัดพราก กิจกรรมของความทุกข์ ก็คืองานศพนี่แหละ แต่อย่างไรก็ตาม อังคารถึงเสาร์ก็มีความหมายอย่างอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่นงานที่ทำด้วยความเหนื่อยยากก็ได้ งานที่ต้องใช้เวลานานก็ได้ งานที่เกี่ยวกับการเกษตรก็ได้ งานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินก็ได้ หรือจะหมายถึงงานที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนหรือก็คือคุณครูก็ได้เช่นกัน

เพราะทั้งความเหนื่อยยาก ต้องใช้เวลานาน เกษตร ที่ดิน หรือครู ก็ล้วนเป็นความหมายของเสาร์ทั้งสิ้น เอาไปรวมกับอังคารคืองานกรือกิจกรรมก็เลยมีความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว

เพราะฉะนั้นเห็นดวงใครมีอังคารถึงเสาร์ก็อย่างเพิ่งตกใจ ไม่ได้แปลว่าดวงนั้นจะอายุสั้นเสมอไป ต้องถามดูดีว่าเจ้าชะตาเป็นใครทำอาชีพอะไร ตกล็อคไหนของความหมายได้บ้าง

เช่นดูตัวอย่างดวงชะตานี้ (เจ้าชะตาเป็นผู้หญิง) จะเห็น MA=SA ชัดๆ ซึ่งก็อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันแปลได้หลายอย่าง แปลว่ากรรมกรก็ได้ เกษตรกรก็ได้ ช่างก็ได้ งานที่ต้องเร่เดินทางตลอดเป็นอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งก็ได้ หรือจะเป็นครูบาอาจารย์ได้ ก็จำเป็นต้องดูอื่นๆ ประกอบไปด้วย

เช่นดวงนี้นอกจาก MA=SA แล้ว เราจะเห็นว่า MO=NO=PO จับเป็นกลุ่มกันอยู่ แบบนี้โอกาสจะเป็นชาวไร้ชาวนาคงน้อยหน่อยเพราะโครงสร้าง MO=NO=PO นี้บ่งบอกว่าเจ้าชะตาเป็นผู้มีความรู้สูง ใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับแวดวงปัญญาชั้นสูง อีกทั้ง AP ที่หมายถึงธุระกิจหรือแวดวงวิชาการก็ยังถึง AS และ MC (ความจริง MA ก็ยังถึง KR ในมุมอ่อนอีกด้วย)

ทายว่าเป็นครูบาอาจารย์คนก็น่าจะเข้าท่าดี ปรากฏว่าเจ้าชะตานี้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ลงล็อคตรงนี้ไป (คนทายก็รอดตายไปเฮือกหนึ่ง) สมมุติเล่นว่าๆ ถ้าไม่ใช่ ก็คงต้องย้อนกลับตีความหมายกันใหม่ว่าโครงสร้างทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับสิ่งเป็นอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามองค์ประกอบแบบนี้ควรลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยอยู่ซักหน่อย (เป็นครูน่าจะสบายที่สุด) จะให้มานั่งกินนอนกินด้วยความสบายตัวก็คงไม่ใช่

ข้ามไปดูที่ JU (พฤหัส) จะเห็นว่าทำมุมถึง ZE ค่อนข้างจะสนิทองศา นอกจากนี้ยังทำมุม SU ด้วย เฉพาะ SU=ZE นี้แปลว่าวิศวกรก็ได้ ผมไม่ทราบว่าเจ้าชะตาเป็นอาจารย์สายไหนเพราะต้นทางเขาไม่ได้แจ้งมา แต่ถ้าทางสายวิศวะก็น่าจะถูกโฉลกดีไม่น้อย 

SU=ZE นี้ความจริงแปลว่าให้กำเนิดบุตรก็ได้ เพราะ ZE คือการสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นส่วน SU คือกายสังขาร ถ้าเอา SU มาสนธิกับ JU ก็คือผู้มีทรัพย์มาก เฉพาะ SU นี้เราแปลว่าบิดาก็ได้ สามีก็ได้ ความจริงแปลว่าชายคนสำคัญอื่นๆ ในชีวิตก็ได้ เช่นพี่ชาย น้องชาย แต่ต้องเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากซักหน่อย ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็ไม่ใช่ 

ทายกันแบบสนุกๆ SU=JU นี้แปลว่าอ้วน เพราะฉะนั้นถ้าอยากรวยก็อย่าอ้วน เดี๋ยวความอ้วนจะดึงเอาพลัง SU=JU นี้ไปใช้หมด ก็น่าเสียดาย 

จะเห็นว่าโหราศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ถึงโอกาสที่อาจเป็นไปได้ ไม่ใช่การสรุปแบบฟันธงฉับเดียวจบ ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ก็อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดิ้นหนีอย่างนี้ไปเรื่อย แต่อยากไรก็ตามมันต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในขอบเขตของมัน ไม่ใช่สักแต่กันว่ากันไปลอยๆ เอาพอให้มันโดนซักอันมันก็คงไม่ใช่ 

ดังนั้นการมองภาพเป็นวงกว้าง การพิจารณาถึงองค์ประกอบแวดล้อมอื่นๆ รวมไปถึงการได้พูดคุยสอบถามข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจเลือกคำพยากรณ์กับเจ้าชะตาโดยตรง จึงล้วนแล้วแต่มีผลเป็นอย่างมากต่อประสิทธิภาพของคำพยากรณ์

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ลัคนาประเทศไทย

เมืองเราเวลานี้ลัคนาอยู่ที่ใดกันแน่? หม่อมเจ้าเฉลิมศรี จันทรทัต ผู้เป็นนักค้นคว้าทางพยากรณ์ชั้นอาจารย์ที่เคารพผู้หนึ่ง ท่านได้ทรงค้นพบตัวเรือนในจักราศีแบบสากลของประเทศไทย ซึ่งได้ตรวจสอบและพิสูจน์เหตุการณ์ย้อนหลังไปตั้ง 50 ปี ได้ผลเป็นที่พึงพอใจ

ท่านลงมติตามเหตุผลว่า ลัคนาของประเทศไทยอยู่ที่ราศีเมถุน 1 องศา 54 ลิปดา และมีตำแหน่งของภพต่างๆดังนี้

  • ภพ 10 ราศีกุมภ์ และภพ 4 ราศีสิงห์ 22 องศา
  • ภพ 11 ราศีมีน และภพ 5 ราศีกันย์ 24 องศา
  • ภพ 12 ราศีเมษ และภพ 6 ราศีตุลย์ 27 องศา
  • ภพ 1 ราศีเมถุน และภพ 7 ราศีธนู 1 องศา
  • ภพ 2 ราศีเมถุน และภพ 8 ราศีธนู 28 องศา
  • ภพ 3 ราศีกรกฏ และภพ 9 ราศีมกร 24 องศา

ในวันที่ประเทศไทยเกิดการปฏิวัติ เปลี่ยนระบอบการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ 2475 นั้น  ดาวอังคารทับลัคนาพอดี 

และในวันที่รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตเสด็จเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ 2489 ลัคนาเล็งภพ 11 พอดี

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อวันรัฐประหารที่ 8 พฤศจิกายนพ.ศ 2490 นั้น อังคารกำลังกลุ่มเสาร์เล็งภพ 10  ในเรือนชะตาของประเทศ ได้องศาพอดีเช่นกัน

:)

เรียบเรียงจากหนังสือ “เผด็จรามเหียฬสากล” เขียนโดย ร.ต. ทองคำ ยิ้มกำภู 


วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Tree of Life



ผัง Tree of Life เป็นปริศานาธรรมของชาวยิว ตีความได้มากมายทั้งในแง่ปรัชญาศาสนา เทวะวิทยา จักรวาลวิทยา การเมืองการปกครอง และแน่นอน รวมไปถึงการพยากรณ์ด้วย

ไพ่ทาโรต์หลายสำนักอธิบายความเชื่อมโยงของไพ่ต่างๆ รวมเป็นเส้นทางของชีวิตด้วยผัง Tree of Life ซึ่งตรงนี้ก็คงมีรายละเอียดยิบย่อยกันออกไปตามแต่ละสำนักจะอธิบายกันครับ

(วงกลมทั้ง 10 เรียกว่าเซฟิรอธทั้ง10 เป็นตัวแทนสภาวะอันหนึ่ง ส่วนเส้นที่เชื่อมเซฟิรอธเข้าด้วยกันคือถนนที่จะต้องเดินทางผ่านเมื่อจะเปลี่ยนสภาวะหนึ่งไปยังอีกสภาวะหนึ่ง)

ส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันเป็นภาคปรัชญาที่ทำให้เกิดความลุ่มลึก ซึ่งภาคพยากรณ์สามารถที่จะแยกออกไปได้ต่างหาก โดยการอ่านไพ่จะยึดโยงเกี่ยวข้องกับปรัชญานี้ด้วยหรือไม่ก็ได้ ไม่ค่อยเป็นสาระสำคัญเท่าไหร่ 

(พูดง่ายๆคือรู้ก็ใช่ว่าจะทายแม่นขึ้น หรือไม่รู้ก็ใช่ว่าจะทายไม่แม่นแต่อย่างใด)

หมายเหตุ - ตรงดาวเสาร์ "ความเข้าใจ" นั้นคือความเข้าใจแบบเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจถึงความรู้สึกสุขทุกข์ของผู้อื่น ไม่ใช่ความเข้าเชิงตรรกะแบบเรียนหนังสือแล้วเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

ศูนย์รังสี (midpoint)

ยังมีปัจจัยอีกประเภทหนึ่งที่นักโหราศาสตร์ปัจจุบันนิยมใช้ โดยเป็นปัจจัยที่เกิดจากการผสมจุดต่างๆเข้าด้วยกันโดยการคำนวณ

เมื่อเราศึกษาต่อไปถึงเรื่องมุมสัมพันธ์จะทราบว่า จุดสามารถสัมพันธ์กับจุดด้วยกันได้ โดยอาศัยมุมสัมพันธ์ คือเมื่อมี 2 จุดใดๆ ทำมุมที่มีความหมาย(ในทางโหราศาสตร์)ต่อกัน ความหมายของ 2 จุดก็จะถึงกัน โดยมีความหมายของมุมเป็นตัวเชื่อม

นอกจากนี้ 2 จุดใดๆยังสามารถสัมพันธ์กันได้ด้วยวิธีการหาจุดกึ่งกลางระหว่าง 2 จุด เราเรียกจุดกึ่งกลางระหว่าง 2 จุดนี้ว่า “ศูนย์รังสี” (midpoint) 

ตัวอย่างเช่นตรงกลางระหว่างจุด a กับจุด b เขียนแทนด้วย A/B มีสูตรคำนวณคือ A/B=(A+B)÷2 โดย a และ b คือตำแหน่งของจุดในจักราศี 

เนื่องจากจักราศีเป็นวงกลม จุดที่ได้จากการคำนวณอาจจะเป็นจุด c หรือจุด d ก็ได้(ดูภาพประกอบด้านซ้าย) โดยถือ 2 จุดนี้มีน้ำหนักเท่ากัน

เราเรียกจุดที่เกิดจากการคำนวณตรงนี้ว่าศูนย์รังสีโดยตรง (Direction Midpoint)

นอกจากจุดที่เกิดจากคำนวณโดยตรงแล้ว ยังนับจุดที่ทำมุมสัมพันธ์ในชุดฮาร์โมนิคที่ 4, 8 และ 16 ( บางคนใช้ถึง 32)  กับศูนย์รังสีโดยตรงเป็นศูนย์รังสีด้วย เรียกว่าศูนย์รังสีโดยอ้อม (Undirection Midpoint)ซึ่งในทางปฏิบัตินิยมใช้เพียงชุดฮาร์มอนิกที่ 8 ( คือชุดมุมที่เป็นจำนวนเท่าของมุม 45 องศา) 

ศูนย์รังสีโดยอ้อมเป็นจุดที่มีน้ำหนักน้อยกว่าศูนย์รังสีโดยตรง ในรูปตัวอย่าง จุด E กับจุด f  ทำมุมฉากกับจุด C, D ส่วนจุด G, H, I และ J  ทำมุม 45 หรือ 135 กับจุด C และ D ทั้งหมดนี้ (E, F, G, H, I, J) เรียกว่าศูนย์รังสีทั้งสิ้น (แต่เป็นศูนย์รังสีโดยอ้อม)

ดังนั้นจากตัวอย่างศูนย์รังสีของ อังคาร/พฤหัสบดี (MA/JU) จึงเท่ากับ

MA/JU = C, D, E, F, G, H, I, J

หมายความว่าศูนย์รังสีระหว่างสองจุดใดๆ จะมี 8 จุด โดยมีจุดที่มีน้ำหนักมากอยู่เพียง 2 จุด 

และทั้ง 8 จุดนี้ยังไม่ทำให้เกิดความหมายขึ้นในดวงชะตาเพราะยังไม่ครบองค์ประกอบ ต่อเมื่อมีจุดหรือดาวอีกดวงหนึ่งมากุมเข้ากับจุดเหล่านี้ ก็จะเกิดโครงสร้างที่เรียกว่าดาวเข้ารูปแบบ 3 จุด (Three Factor Planetary Pictures)

จากภาพตัวอย่าง(ขวา) มีดาวพุธมากุมกับศูนย์รังสีโดยตรง และมีดาวเสาร์มากุมกับศูนย์รังสีโดยอ้อม เกิดเป็นโครงสร้างพระเคราะห์เข้ารูป 2 ชุดคือ MA/JU = ME และ MA/JU = SA

เกิดโครงสร้างดังนี้เราจึงสามารถแปลความหมายได้โดยความหมายของ 3 ปัจจัยที่ประกอบมาผสมกัน (ด้วยสมการ A/B=C หรือก็คือ A+B-C นั่นเอง)

การแปลความหมายของดาวพระเคราะห์เข้ารูป จะใช้จุดหนึ่งเป็นหลัก(โดยทั่วไปจะใช้จุดที่เป็นแกน) แล้วใช้อีก 2 จุดเป็นตัวขยาย หรืออาจจะใช้ 2 จุดมาผสมกันก่อนแล้วค่อยขยายด้วยจุดที่ 3 ก็ได้

การแปลงนี้ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดนัก แม้บางท่านจะพยายามสร้างหลักเกณฑ์ขึ้นมา แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงแล้วการแปรก็มักจะไร้รูปแบบ โดยขึ้นอยู่กับบริบทเป็นสำคัญ 

:)

เรียบเรียงจากหนังสือ "โหราศาสตร์สากลร่วมสมัย" เขียนโดย อ.กาลจักร

:)