วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Michel Gauquelin (มิเชล โกเกอแล็ง)

เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1928 เขาเป็นเด็กที่หลงใหลเรื่องดวงดาวมากเสียจนเพื่อนๆ ในวัยเด็กตั้งฉายาให้เขาว่า “(ไอ้)นอสตราดามุส” … แต่แทนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นหมอดู เขากลับเลือกเส้นทางของนักวิทยาศาสตร์ ศึกษาด้านจิตวิทยาและสถิติที่มหาวิทยาลัย ซอร์บอนน์ (Sorbonne)

และจากความรู้ทางสถิติและจิตวิทยานี้เอง ที่มันได้กลายเป็นอาวุธหลักของเขาในการตั้งคำถามกับโหราศาสตร์แบบดั้งเดิมว่า “หากดาวเคราะห์จะมีผลจริง … มันควรพิสูจน์ได้ด้วยตัวเลข ไม่ใช่ด้วยความเชื่อ”

ในยุคที่โหราศาสตร์ยังถูกมองว่าเป็นเรื่องเหนือเหตุผล (และออกจะไปทางไร้สาระอยู่หน่อยๆ) Gauquelin และภรรยาของเขา Françoise Gauquelin (ฟรานซัวส์ โกเกอแล็ง) กลับกล้าที่จะทำในสิ่งตรงกันข้าม โดยพวกเขารวบรวมวันเวลาเกิดของผู้คนหลายหมื่นคนจากทั่วฝรั่งเศส อิตาลี และเบลเยียม เพื่อสร้างฐานข้อมูลดวงชะตาขนาดมหึมา แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติทางวิทยาศาสตร์

ผลลัพธ์ของการค้นคว้านี้ก็ได้ปรากฏในหนังสือชื่อ L’influence des astres (1955) และต่อมาในผลงานภาษาอังกฤษที่โด่งดังที่สุดของเขา “Cosmic Clocks” (1967) หนังสือที่ชวนให้ผู้อ่านมองดวงดาวในฐานะ “นาฬิกาแห่งจักรวาล” มากกว่าเครื่องมือทำนายโชคชะตา

และสิ่งที่ทำให้ Gauquelin ถูกจดจำตลอดกาลก็คือสิ่งที่เรียกว่า “Mars Effect” หรือ “ปรากฏการณ์ดาวอังคาร”

โดยเขาได้พบ (ในเชิงสถิติ) ว่า นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จระดับชาติและนานาชาติ จะมีแนวโน้มจะเกิดในเวลาที่ดาวอังคารอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับ “เมอริเดียน” (MC) หรือ “อยู่จุดสูงสุดบนฟ้า” มากกว่าค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

พูดง่ายๆ คือ ในหมู่นักกีฬาแชมป์โลก ดาวอังคารปรากฏในตำแหน่งพิเศษบ่อยเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ซึ่งก็สอดคล้องกับความหมายดั้งเดิมของดาวอังคารที่แทน “พลัง การแข่งขัน และชัยชนะ” ที่ใช้กันโดยทั่วไปในเชิงโหราศาสตร์ 

ต่อมา Gauquelin ก็ยังพบแนวโน้มลักษณะเดียวกันกับดาวอื่นๆ เช่นดาวพฤหัสที่มักปรากฏเด่นในดวงของนักแสดงหรือนักการเมือง หรือดาวเสาร์ที่มักเด่นในดวงของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้มีความละเอียดถี่ถ้วน

โดยแนวคิดเหล่านี้ถูกเรียกรวมว่า “Planetary Types” หรือ “ลักษณะดาวเคราะห์ประจำอาชีพ”

ผลงานของ Gauquelin กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะมันเปิดศึกทางความคิดระหว่างนักวิทยาศาสตร์และนักโหราศาสตร์เข้าอย่างจัง โดยฝ่ายหนึ่งมองว่าเขากำลัง “หาความจริงด้วยเหตุผล” ในขณะอีกฝ่ายมองว่าเขากำลัง “ทำลายมนต์เสน่ห์ของโหราศาสตร์ด้วยสถิติเชิงตัวเลข”

แน่นอน นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มพยายามทำซ้ำผลการทดลองของเขา ซึ่งบางครั้งได้ผลลัพธ์ใกล้เคียง แต่หลายครั้งก็ไม่ได้ผลแบบเดียวกัน จึงเกิดการถกเถียงกันมายาวนานว่าข้อมูลของเขานั้นมัน “แม่นจริงหรือเพียงแค่บังเอิญ”

แม้เขาจะพยายามควบคุมตัวแปรมากมาย เช่นกลุ่มตัวอย่าง การคลอดแบบธรรมชาติ หรือเวลาบันทึกเกิด แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกข้อมูลอาจแฝงอคติ หรือผลทางสถิติอาจเกิดจาก “การทดสอบซ้ำหลายครั้งจนเจอสิ่งที่ดูมีนัยสำคัญ” (เอ้า! … คนมันจะเชื่อมันก็เชื่อ ส่วนคนที่ไม่เชื่อทำยังไงมันก็ไม่ยอมเชื่อ -_- ) ดังนั้นตลอดชีวิตการทำงาน Gauquelin จึงต้องเผชิญทั้งการยกย่องและการโจมตี (ทั้งจากฝ่ายนักโหราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์) 

ที่จริงแล้วเขาไม่เคยประกาศตัวว่าเชื่อในโหราศาสตร์แบบนักพยากรณ์ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ามีบางอย่างในจักรวาลที่ดู “มากกว่าเรื่องบังเอิญ” โดยเขาเคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า

“If the stars do not influence us, then why do they reflect us so perfectly?”

(“หากดวงดาวไม่ได้มีอิทธิพลต่อเรา แล้วทำไมมันจึงสะท้อนตัวตนของเราได้อย่างแม่นยำเช่นนั้น?”)

ในปี 1991 เขาเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 62 ปี ทิ้งไว้เพียงงานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 20 ปี และชุดข้อมูลดวงชะตาที่นักวิทยาศาสตร์และนักโหราศาสตร์ยังนำมาอ้างถึงจนถึงปัจจุบันนี้

แม้งานของจะไม่สามารถ “พิสูจน์” โหราศาสตร์ได้เต็มที่ตามมาตรฐานวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต้องการ แต่มันได้เปลี่ยนวิธีที่เรามองโหราศาสตร์ไปตลอดกาล

เขาทำให้ผู้คนเริ่มคิดว่า … โหราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงศิลปะการทำนาย แต่สามารถเป็น “ศาสตร์แห่งการสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ผ่านจังหวะจักรวาล” ได้เช่นกัน

ทุกวันนี้ งานของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่เชื่อใน “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจักรวาล” ได้พยายามมองฟ้าอย่างมีเหตุผล และมองตัวเองอย่างมีความหมายมากขึ้น

เขาจึงไม่ได้เพียงแค่เป็นนักโหราศาสตร์ที่ลึกขึ้นมาทำงานวิจัยเชิงสถิติวิทยา … หากแต่เป็นคนกล้าหาญที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการนี้ว่า

“ระหว่างดวงดาวกับเรา… อะไรคือสิ่งที่เชื่อมโยงกันจริง ๆ?”

:)