มีเรื่องนึงอยากเขียนถึงมานานแล้ว ที่จริงก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับโหราศาสตร์โดยตรงเสียทีเดียว ดังนั้นใครไม่ชอบขอให้ข้ามๆไป
ก็คือความเชื่อบางอย่าง ที่มีกันมานานแล้วในหมู่นักพยากรณ์โดยเฉพาะคนที่ทำเป็นอาชีพ นั่นก็คือความเชื่อที่ว่า … “ถ้าไปดูดวงไขความทุกข์ให้กับคนอื่น ก็จะโดนเจ้ากรรมนายเวรของคนๆ นั้นตามมารังควานได้”
ก็ทำนองว่าไปช่วยแก้เคราะห์กรรมให้คนอื่นเขาแล้วก็เลยทำให้เจ้ากรรมนายเวรไม่พอใจ เพราะตามทวงเวรกรรมจากตัวคู่กรรมของเขาไม่ได้ สุดท้ายก็เลยพาลมาลงกับตัวหมอดูแทนนี่แหละ สาระแนดีนัก หมอดูก็ซวยกันไป อะไรประมาณนั้น
ความเชื่ออย่างนี้ว่ากันตามตรงก็เป็นพิสูจน์ยาก แล้วแต่ใครจะเชื่อไปทางไหน มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เท่าที่สังเกตดูทั้งสองฝั่งก็มีมากพอกัน
คนที่เชื่ออย่างนี้ก็ยืนยันหนักแน่นว่าดูดวงช่วยเขาทีไรเป็นอันของเข้าตัว ลำบากตัวเองทุกที ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็ยืนยันหนักแน่นเหมือนกันว่าดูดวงมาเป็นพันดวงก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักที ชีวิตยังสุขสบายดีมีความสุขความเจริญได้ตามอัตภาพ
จะเชื่อใครดี?
ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ “จริงทั่งคู่”
หลักจิตวิทยาสำคัญข้อหนึ่งกล่าวว่า “ความเชื่อคือความจริงสำรับทุกคน” และที่สำคัญคือ “ทุกคนล้วนมีความเชื่อเป็นของตนเอง” สรุปคือใครเชื่ออย่างไรชีวิตก็ย่อมต้องไปตามนั้น และคุณกับผมไม่จำเป็นต้องเชื่อเหมือนกัน ดังนั้นความจริงสำหรับแต่ละบุคคลจึงอาจเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน
ใครเชื่อว่าซวยก็ซวยไป ใครเชื่อว่าเฮงก็เฮงนั่นแหละ
เอากันง่ายๆ อย่างนี้เลย ไม่ต้องไปเสียเวลามาโต้เถียง พิสูจน์ หรอหาข้อยุติให้ยุ่งยาก
ดังนั้นตามหลักจิตวิทยาจึงไม่สนใจว่าใครจะเชื่อแบบใหน แต่จะสนใจตรงที่ว่า “เชื่อแล้วชีวิตได้อะไร?”
เชื่อว่าดูดวงแล้วของจะเข้าเจ้ากรรมนายเวรจะตามมาทวง หรือจะเชื่อว่าการดูดวงคือการบำเพ็ญกุศลเพราะได้ช่วยเหลือคน (ถ้าไม่คิดหลอกแดกคนอื่น) ยิ่งช่วยชีวิตจึงยิ่งเจริญ
เรื่องพวกนี้ไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน เพราะใครเชื่ออย่างไรชีวิตย่อมเป็นจริงไปตามนั้น
แต่เชื่อแล้วยังไงต่อ สร้างสรรค์ต่อตนเองหรือไม่ อันนั้นแหละประเด็นที่แต่ละจะต้องถามตัวเอง
:)