การอ่านเรือนชะตานั้น สำหรับเรือนว่างที่ไม่มีดาวสถิต โดยเบื้องต้นก็มักจะกำหนดความหมายกันเอาไว้ว่า “เจ้าชะตาไม่สนใจหรือมิได้ใส่ใจต่อเรื่องราวนั้นๆ” โดยจะเรื่องไหนก็แล้วแต่ว่าเรือนอะไรว่างเปล่า
เช่นเรือน 2 ว่างก็คือไม่ใส่ใจเรื่องรายได้ เรือน 4 ว่างคือไม่สนใจเรื่องในบ้าน หรือเรือน 7 ว่าคือชีวิตไม่ค่อยแคร์เรื่องคู่ครอง อะไรทำนองอย่างนี้
แต่ถ้าหากจะขยายความกันต่อไป ก็จำเป็นต้องใช้ดาวจากเรือนอื่นๆ มาช่วย
หลักการอย่างหนึ่งที่โหราศาสตร์นำมาใช้ก็คือเรือนสะท้อน โดยจะกำหนดให้มีการสะท้อนของเรือนชะตา เป็นการจับเรือนชะตาเป็นคู่ๆ เช่นในเรือนชะตาเมอริเดียน เรือน 1 จะสะท้อนเรือน 12 เรือน 2 สะท้อนเรือน 11 เรือน 3 สะท้อนเรือน 10 จับเป็นคู่ๆ อย่างนี้เรื่องไปจนครบทุกเรือน
หากลองมาเอาปากกามาลากเส้นดูก็จะเห็นลักษณะคล้ายๆ ก้างปลาโยงจับคู่เรือนชะตาเข้าด้วยกัน
สำหรับการจับคู่เรือนสะท้อนนี้ เรือนชะตาแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างออกไป เช่นในเรือนชะตาอาทิตย์ เรือน 1 จะท้อนเรือน 6 หรือถ้าเป็นเรือนชะตาราหู เรือน 1 จะสะท้อนเรือน 3
จะเห็นว่ามีความแตกต่างกัน
สำหรับการอ่านเรือนชะตาสะท้อนนี้ โดยทั่วไปก็ใช้วิธีการง่ายๆ คือถ้าดาวฝั่งหนึ่งไม่มีดาวก็ให้ไปยืมดาวที่อยู่ในอีกฝั่งหนึ่งมาใช้แทน เช่นในเรือนชะตาเมอริเดียน ถ้าเรือน 1 ไม่มีดาวเราก็ไปดูที่เรือน 12 สมมุติว่าเรือนชะตาที่ 12 นี้เกิดมีดาวสถิต เช่นมีพุธสถิต เราก็เอาดาวพุธนั้นแหละมาอ่านเรือน 1 เสมือนว่าในเรือน 1 นี้มีดาวพุธกับเขาด้วย
แต่เนื่องจากดาวที่ยืมมานี้ไม่ใช่ดาวที่มีอยู่จริงในเรือน เวลาพยากรณ์จึงอาจต้องแบ่งรับแบ่งสู้ ลดความชัดเจนของผลลัพธ์ลงไป หรืออาจจะนำเอาความหมายของเรือนชะตาเดิมที่ดาวที่ถูกยืมมานั้นสถิตเข้าผสมเจอปนลงไปบ้าง
เช่น เรือน 1 ไม่มีดาว เราเลยไปยืมดาวจากเรือน 12 สมมุติว่าคือดาวพุธ เราอ่านเหมือนมีพุธอยู่ในเรือน 1 ก็จริงแต่ก็เจือความเป็นเรอน 12 ลงไปด้วย เช่นพยากรณ์ว่า “เจ้าชะตา(เรือน1)เป็นคนช่างคิด(พุธ)แต่คิดแล้วไม่ค่อยพูดมักเก็บงำเอาไว้ในใจ(เรือน12)” เช่นนี้เป็นต้น