วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565

ดาวพลูโตในทัศนคติโหราศาสตร์

ยูเรเนี่ยนกำหนดความหมายของ “ดาวพลูโต” (PL) เอาไว้ง่ายๆ ว่า “พัฒนาการ” หรือ “ความเปลี่ยนแปลง”

ชีวิตคนเรามีอะไรไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง? ว่าแล้วก็เลยรู้สึกว่าดาวนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ บางทีก็ข้ามๆ ไป ขี้เกียจดู เพราะไม่ค่อยมีอะไรจะน่าสนใจนัก

ความจริงแล้วพลูโตเป็นชื่อเทพเจ้าแห่งปรโลก เป็นเจ้าแห่งนรก เป็นราชาของคนตาย (องค์เดียวกับ ฮาเดส นั่นแหละ แต่เรียกคนละภาษากัน) ดังนั้นโหราศาสตร์โดยทั่วไปจึงมักมองพลูโตไปในทางร้ายมากกว่าดี และก็ยังถือว่าเป็นดาวที่มีความหมายร้ายมากที่สุดดวงหนึ่งด้วยเพราะมันมีความหมายโดยตรงว่า “ความตาย”

ขึ้นชื่อว่าความตายจะไม่สำคัญได้หรือ?

ยูเรเนี่ยนมองพลูโตว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง เป็นจากรูปหนึ่งไปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย จะกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว อุปมาเหมือนบ้านที่ถูกทุบทิ้งแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ แต่สร้างแล้วจะดีกว่าเดิมหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พลูโตจึงเป็นตัวแทนของความตายตรงๆ เมื่อตายแล้วก็เกิดใหม่ กลายเป็นสิ่งใหม่ คนใหม่ ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป

โหราศาสตร์สากลบางสำนักมองพลูโตเป็นความตั้งใจอันแรงกล้า (Will Power) พลังใจอันใหญ่หลวง เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ใหม่ที่เกิดขึ้นโดยเจตนา 

อาจารย์พลูหลวงท่านเลยจับเอาพลูโตไปเป็นเกษตรในราศีเมษซึ่งเป็นราศีแรกของจักรราศี (ราศีแห่งการถือกำเนิด) แทนดาวอังคารของเดิม เพราะท่านมองว่าพลูโตเป็นดาวแห่งอีโก้ ความเป็นตัวกูของกู ก็กูอยากได้กูก็จะลงมือทำ(มึงจะทำไมกูล่ะ?) รวมไปถึงความหลงไหลแบบหมกมุ่นไม่สนใจอย่างอื่นไม่เป็นอันทำอย่างอื่น

คนเราจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ขึ้นมาซักอย่างได้มันจำเป็นต้องมีอารมณ์อย่างนี้ เพราะถ้าอ่อนไหวไปตามคำวิจารณ์ของคนอื่นก็อย่าหวังเลยว่าอะไรจะสำเร็จขึ้นมาได้ บรรดานักคิดนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลกต่างก็ถูกถากถางจากขี้ปากชาวบ้านมานักต่อนักแล้วตอนผลงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะความดันทุรังไม่สนขี้ปากชาวบ้านนี่แหละจึงสำเร็จขึ้นมาได้ (และก็พังมานักต่อนักแล้วด้วย)

เพราะความตั้งใจ มีความปราถนาที่จะทำอะไรอย่างแรงกล้านี้เอง ในที่สุดมันก็จะพัฒนาเป็นความเผด็จการ ไม่แคร์คนอื่น อาจารย์พลูหลวงท่านจึงเรียกดาวพลูโตนี้ว่าดาวคอมมินิสต์ ซึ่งถ้าว่ากันให้ถูกต้องจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นดาวฟาสซิสต์ 

การปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบหนึ่งไปสู่อีกระบบหนึ่ง การรัฐประหาร การยึดอำนาจ ความรุนแรงทางการเมืองต่างๆ จึงถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับพลูโต

เนื่องจากพลูโตเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการ ดังนั้นจึงมักมองว่าเป็นดาวให้คุณของอาชีพข้าราชการ หรืออะไรก็ตามที่จะต้องมีการเลื่อนยศเรื่องตำแหน่งกันอยู่เป็นประจำ หากพลูโตในดวงชะตานั้นๆ มีโครงสร้างที่ดี

AS/PL (ลัคนา/พลูโต) ก็คือเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ย้ายบ้าน AR/PL (เมษ/พลูโต) คือย้ายประเทศ ย้ายภูมิลำเนา JU/PL (พฤหัส/พูลโต) คือเจริญขึ้น ส่วน SA/PL (เสาร์/พลูโต) คือเจริญช้าๆ ค่อยๆโต ถ้า VE/PL (ศุกร์/พลูโต) คือเปลี่ยนความรักอันนี้ท่าจะไม่ค่อยดี UR/PL (มฤตยู/พูลโต) คือเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันไม่ทันตั้งตัว ส่วน KR/PL (โครโนส/พลูโต) คือเลื่อนยศเลื่อนขั้นตำแหน่ง หรือถ้าเกิด PO/PL (โพไซดอน/พลูโต) ขึ้นมาก็อาจจะถึงแก่ตรัสรู้ เกิดแจ้งทางปัญญาขึ้นมากันเลยทีเดียว

พลูโตเป็นดาวของการแปรรูปจากอย่างหนึ่งไปสู่อีกอย่างหนึ่ง ในบางบริบทพลูโตจึงหมายถึงอาหาร เพราะอาหารนั้นคือการแปรรูป จากหมูเป็นตัวๆก็กลายเป็นหมูย่างบ้างหมูพะโล้บ้างหมูกรอบบ้าง ต้องแปรสภาพมันก่อนถึงจะกินเข้าไปได้ 

ความจริงอาหารนั้นก็เกี่ยวข้องกับความตายโดยตรงอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะพืชหรือสัตว์ล้วนต้องตายทั้งสิ้นเมื่อถูกนำมาทำเป็นอาหาร

ดวงเจ้าสัวและนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารหลายคนมีพลูโตในดวงชะตาเด่น ในยูเรเนี่ยนกำหนดให้ SU/PL (อาทิตย์/พลูโต) เป็นตัวแทนของอาหารโดยตรง เพราะ SU/PL ก็คือการสังขารที่แปรรูปไปแล้ว แถมกินเข้าไปแล้วก็เกิดเป็นพัฒนาทางร่างกาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติของอาหารในเชิงอุปมาทั้งสิ้น

โหราศาสตร์สากลบางสำนักมองพลูโตว่าเป็นดาวทรัพย์ แต่เป็นทรัพย์ที่ได้จากความสูญเสียของคนอื่น เช่นเงินมรดก หรือเงินประกัน นอกจากนี้ยังอาจมองพลูโตว่าเป็นเงินภาษี เพราะโดยหลักการแล้วเราจ่ายภาษีก็เพื่อได้อะไรบางอย่างคืนมาจากรัฐ แปลจากเงินของเราไปเป็นไฟฟ้า ปะปา รวมไปถึงเรือดำน้ำที่ไม่รู้จะเอาไปดำตรงไหน ได้มาแล้วจะดีใจหรือกร่นด่ากันขนาดไหนก็คงเป็นอีกเรื่อง 

บางคนว่าคนทวงภาษีกับยมทูตจากยมโลกมันก็ไม่ต่างกันนักหรอกสูเจ้า

เนื่องจากพลูโตเป็นชื่อเทพแห่งยมโลก คนสมัยโบราณมักคิดว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า ส่วนปรโลกอยู่ใต้ดิน (เพราะคนเราตายแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก็มักต้องเอาไปฝัง ที่มาเผากันนั้นก็ในยุคหลังมาแล้ว) ดังนั้นพลูโตจึงยังหมายถึงการหลบซ่อน โลกที่แสงส่องเข้าไปไม่ถึง วงการที่มีความลึกลับ บรรดาวงการมาเฟียต่างๆ พวกบ่อน ซ่อง ไนท์คลับ ธุรกิจกลางคืน พวกนี้จึงเกี่ยวข้องกับพลูโตทั้งสิ้น

และเนื่องจากพลูโตเป็นชื่อเทพแห่งยมโลกอีกเช่นกัน บางสำนักจึงมองพลูโตว่าเกี่ยวข้องกับภูติผี วิญญาณ อีกด้วย


:)


ภาพประกอบ : เทพเจ้าพลูโต(พระยม)ฉุดเทพธิดาเฟอร์ซิโฟเน่(ฤดูใบไม้ผลิ) โดย Lorenzo Bernini

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565

เพื่อน

จากข่าวดาราสาวตกน้ำเสียชีวิตที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ มันก็ทำให้คิดจริงๆ ว่า เอ่อ… เรื่องเพื่อนนี่มันก็สำคัญต่อชีวิตของเราจริงๆ นะ เพื่อนดีก็ช่วยเหลือเพื่อนเ_ี้ยก็เรียบร้อย ยามยากลำบากไม่ช่วยไม่ว่ายังพาลก่อปัญหามาซ้ำเติมกันอีก

เพื่อนกินท่านจึงวางไว้เรือน 3 เพราะคนพวกนี้มักวนเวียนใกล้ตัว เป็นของหาง่าย ส่วนเพื่อนแท้ท่านโยนไว้เรือน 11 ใครมีเหมือนมีโชคลาภ แต่หายากราวถูกหวย

ว่าแล้วก็อดใจหันกลับไปอ่านดวงตัวเองไม่ได้ 

ใครที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัวจะทราบว่าผมเป็นคนเก็บตัว มีความเป็นลักษณ์ 5 หรือเป็นพวกอินโทรเวิร์ดจัดๆ ไม่ชอบเข้าสังคม ลักษณะอย่างนี้จึงทำให้มีเพื่อนน้อย แต่ข้อดีก็คือทุกวันนี้เพื่อนที่มีก็เป็นเพื่อนดี เพราะเพื่อนที่มันไม่ดีเราเตะทิ้งออกจากชีวิตไปหมดแล้วด้วยความรวดเร็ว

นั่งมองดวงตัวเองในดวงนิรายนะ พบว่าดวงตัวเองนี้มีเกตุไทยอยู่ในเรือน 3 ตรงราศีเมถุน สงสัยเกตุตัวนี้จะไล่เพื่อนไปหมดเสียกระมัง ความจริงเกตุนี้ตำราสำนักเกษตรเรือนเดี่ยวของ อ.พลูหลวงท่านถือเป็นเกษตรในราศีเมถุนร่วมกับราหู จึงเป็นเกตุที่แข็งแรงเข้มแข็ง 

สำหรับราหูนั้นไปสถิตร่วมมฤตยูในเรือน 7 ปัตตนิ 

เรือน 7 นี้ถ้าไม่แปลว่าคู่ครองหรือคู่หุ้นส่วนก็แปลว่าศัตรูเปิดเผย ซึ่งก็เห็นจริงเพราะถ้าเกลียดขี้หน้ากันแล้วจะเกลียดออกนอกหน้านอกตามาก ผ่านไปสิบปีก็ยังมีเรื่องให้กร่นด่ากันอยู่

ส่วนราศีกุมภ์ที่เป็นเรือน 11 ลาภะ มิตรแท้ เพื่อนร่วมอุดมการณ์นั้นมีอังคารสถิต แปลอย่างคนรู้เงื่อนไขตัวเองก็คือมิตรสหายสายบู๊ทั้งหลาย มีแต่ผู้ชายล้วนๆ ตามอำนาจของอังคาร ส่วนเจ้าเรือน 11 นี้คือมฤตยูก็ไปตรงเรือน 7 นั่นแหละ สรุปว่าเวลาเกลียดนี่เกลียดจริงๆ ไม่ต้องปิดบังอะไรกันอีก

อ่านอย่างทั่วๆ ไปเจ้าเรือน 11 อยู่เรือน 7 ก็คือมีคู่ครองเป็นลาภะนั่นเอง ไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก

กระโดดไปที่ดวงยูเรเนี่ยน ถ้าเราไม่อ่านเรือนชะตาโดยจะใช้กันแต่พระเคราะห์สนธิ ดาวที่มีความหมายว่าเพื่อนก็คือดาวพุธ เพราะพุธคือการสื่อสารซึ่งจะต้องเกิดขึ้นกับคนรอบๆ ตัวอยู่เสมอ นั่นดูดวงตัวเองก็แน่นอนว่ามี ME=JU=PL เป็นจุดขายอยู่แล้ว

ถ้าเราแปลความ ME ว่าหมายถึงเพื่อน ก็คือมีเพื่อนดีให้คุณประโยชน์ตามพลังของ JU แต่ในขณะเดียวกันก็ทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ได้ง่ายๆ ตามประสา PL จอมเผด็จการด้วย และถ้ามองลงไปถึงมุมเล็กก็จะเจอกับ AD ซึ่งฟ้องว่าเพื่อนน้อย หรือการแตกหักกันในหมู่เพื่อน

หรือถ้าข้ามไปนั่งดูดวงจีน(ปาจื่อ) จะพบว่าแถวเพื่อนมันถูกเทวดา(ลัคนา)ลบทิ้งไปทั้งแถว ก็คอนเฟิมว่าเป็นคนเพื่อนน้อยจริงๆ นั่นแหละ 

สังเกตุว่าใช้แค่คำว่าเพื่อนน้อยแต่ไม่ใช้คำว่าไร้เพื่อนเสียทีเดียวเพราะธรรมดาชีวิตคนซึ่งเป็นสัตว์สังคมมันก็ต้องมีเพื่อนมีฝูงอยู่บ้าง แต่จะมากน้อยให้คุณให้โทษประการใดก็อีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องดวงจีนนี้ไม่อยากวิจารย์มากเพราะตัวเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน เรียนมานานทิ้งไปนาน ท่าทางจะลงหม้อลงไหไปหมดแล้วกระมัง

เวลาเราอ่านหนังสือโหราศาสตร์เล่นไหนก็ตาม โดยมากท่านมักแนะนำว่าดวงครูที่ดีที่สุดก็คือดวงของเราเอง เพราะจริงเท็จดีชั่วต่างๆ เราย่อมรู้อยู่แก่ใจดี (แต่จะยอมรับหรือไม่นั่นอีกเรื่อง) ดังนั้นบรรดาหลักเกณฑ์อะไรก็ตามที่สงสัย ความจริงสามารถพิสูจน์ได้โดยเบื้องต้นจากการย้อนกลับไปอ่านที่ดวงชะตาของเราเอง

และข้อดีประการสำคัญของการอ่านดวงตัวเองก็คือ มันเป็นการทบทวนการทำความรู้จักของตัวเอง ดีตรงไหนเสียตรงไหนขอบเขตอยู่ตรงไหน 

การเข้าใจตัวเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงไม่พูดเรื่องโหรแต่พูดเรื่องจิตวิทยา การทำความรู้จักกับตัวเองก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ อยู่ดี

การอ่านดวงราศีจักร

การอ่านดวงราศีจักร มีหลักการเบื้อต้นที่สำคัญคือ

1. อยากรู้เรื่องใดให้อ่านเรือนนั้น เช่นอยากรู้เรื่องงานอ่านกัมมะ อยากรู้เรื่องรายรับรายจ่ายอ่านกดุมพะ หรืออยากรู้เรื่องคู่ครองก็อ่านเรือนปัตตนิ เช่นนี้เป็นต้น 

2. ให้ดูว่าในเรือนนั้นๆ มีดาวอะไรสถิต ถ้าไม่มีก็แล้วไป ถ้ามีก็เอาความหมายของดาวนั้นไปผสมรวมกับความหมายของเรือนที่สถิตได้ เช่นเสาร์สถิตเรือนปัตตนิ ก็ทางว่าได้คู่ครองแก่กว่า ได้คู่ครองเมื่อแก่ หรือพลัดพรากจากคู่ครองอะไรก็ว่ากันไป แล้วแต่จะไปจับเอาประเด็นไหนมาผสมกัน 

3. อาจจะดูต่อไปอีกว่าดาวที่มาสถิตนั้นได้คุณสมบัติหรือมีคุณภาพอย่างไรในตำแหน่งนั้น (เป็นเกษตร อุจ ปรเกษตร หรือ นิจ) ก็เอาความหมายของคุณสมบัติผสมร่วมเข้าไป เช่นเกษตรตือแข็งแรงมั่นคง ปรเกษตรคืออ่อนแอไม่มั่นคง เช่นนี้เป็นต้น

4. หากมีดาวสถิตในเรือนมากกว่า 1 ดวงก็สามารถเอาความหมายของดาวเหล่านั้นมาสนธิความหมายกันได้แล้วค่อยเอาไปผสมกับความหมายของเรือนสถิตอีกที เช่นราหูเสาร์ในเรือนพันธุ ก็อาจจะผสมเป็น ความสัมพันธ์(ราหู)ด้วยความทุกข์(เสาร์)ภายในครอบครัว(พันธุ) อะไรทองนี้

5. บางสำนักอาจพิจารณาต่อไปอีกว่าดาวในเรือนเหล่านั้นเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน เป็นคู่ธาตุหรือศัตรูธาตุกันหรือไม่ ถ้าดาวดีต่อกันก็ยิ่งทำเรือนนั้นดีมีโชค แต่ถ้าดาวมาตีกันในเรือนก็จะทำให้เรือนนั้นมีทุกข์มีแต่เรื่องเดือดร้อน

6. เรื่องดาวมิตรหรือเป็นศัตรู ดาวคู่ธาตุหรือศัตรูธาตุนี้ ยังอาจถูกใช้เป็นเงื่อนไขในการพิจารณาว่าการผสมความหมายระหว่างดาวนั้นดาวควรแปลความหมายไปในทางดีหรือร้ายอีกด้วย

7. ต่อไปคือดูว่าเจ้าเรือนนั้นๆ ไปอยู่ที่เรือนไหน เราสามารถเอาความหมายของเรือนทั้ง 2 มาผสมกันเป็นคำพยากรณ์ได้ เช่นเจ้าเรือนปัตตนิไปอยู่เรือนลาภะ ก็เอา ปัตตนิ+ลาภะ จะทายว่าไม่ลาภผลจากคู่ครองก็ได้ หรือจะทายไว้ได้คู่ครองง่ายก็ได้ แล้วแต่บริบทของการตีความหมาย วิธีการนี้ดีมากๆ สำหรับแก้ปัญหาในเรือนชะตาไม่มีดาวสถิต

8. อาจจะพิจารณาต่อไปอีกว่า เจ้าเรือนนั้นๆ เมื่อไปสถิตที่เรือนอื่นแล้ว ไปสถิตร่วมดาวอะไร เราสามารถเอาความหมายของดาวเหล่านั้นผสมเข้าไปกับความหมายของเรือน(ผ่านดาวเจ้าเรือน)ได้ เช่นดาวอังคารเจ้าเรือนกัมมะไปสถิตภพวินาศน์ร่วมราหู เราเอาก็ (กัมมะ+วินาศน์)+ราหู ได้อีก (อาจจะเอาเรื่องดาวมิตรหรือเป็นศัตรู ดาวคู่ธาตุหรือศัตรูธาตุเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย)

เรื่องของดาวเจ้าเรือนนี้ยังสามารถเติมรายละเอียดเข้าไปได้อีก โดยพิจารนาจากดาวอื่นๆ ที่มาทำมุมสัมพันธ์ถึง (กุม เล็ง ฉาก โยค ตรีโกณ ปลายหอก ก้ามปู) แต่เรื่องนี้จะขอละไว้เพราะรายละเอียดเยอะ จะทำบทความนี้จะบานปลายไปกันใหญ่โตไม่จบกันง่ายๆ