วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Introduction of kybalion

เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนองานชิ้นเล็กๆ นี้ต่อความสนใจของนักเรียนและผู้ที่ศึกษาหลักคำสอนลับ ที่มีพื้นฐานมาจากคำสอนโบราณของ “เฮอร์เมติค” (Hermetic)

หมายเหตุ - Hermetic หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำสอนและปรัชญาที่เกี่ยวกับเฮอร์เมส ทริสเมกิสตัส (Hermes Trismegistus) ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นปรมาจารย์แห่งปรัชญาลึกลับและเวทมนตร์โบราณ

มีงานเขียนเกี่ยวกับหัวข้อนี้น้อยมาก แม้จะมีการอ้างอิงถึงคำสอนเหล่านี้มากมายในงานที่เกี่ยวกับลัทธิลึกลับก็ตาม และผู้ที่แสวงหาความจริงลึกลับหลายคนจะยินดีต้อนรับการปรากฏของหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน

จุดประสงค์ของงานชิ้นนี้ไม่ใช่การประกาศปรัชญาหรือหลักคำสอนพิเศษใดๆ แต่เป็นการให้คำกล่าวของความจริงแก่นักเรียนที่สามารถประสานความรู้ทางลัทธิลึกลับหลายๆ ส่วนที่พวกเขาอาจได้รับมา ซึ่งมักขัดแย้งกันและมักทำให้ผู้เริ่มต้นศึกษาเกิดความท้อแท้และเบื่อหน่าย

ความตั้งใจของเราจึงไม่ใช่การสร้างวิหารแห่งความรู้ใหม่ แต่เป็นการมอบกุญแจให้แก่นักเรียนเพื่อให้เขาได้เปิดประตูภายในหลายๆ บานในวิหารแห่งความลึกลับที่เขาได้เข้าไปแล้ว

ไม่มีส่วนใดของคำสอนลึกลับที่โลกครอบครองอยู่ที่ได้รับการปกป้องอย่างใกล้ชิดเท่ากับเศษเสี้ยวของคำสอนเฮอร์เมติคที่ส่งต่อมาถึงเราตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคของผู้ก่อตั้งผู้ยิ่งใหญ่ของมัน เฮอร์เมส ทริสเมกิสตัส “ผู้เขียนของพระเจ้า” ผู้ที่อาศัยอยู่ในอียิปต์โบราณในยุคที่มนุษย์ในปัจจุบันยังเป็นเด็กเล็ก

ผู้ร่วมสมัยกับอับราฮัม และถ้าตำนานเป็นจริง เขายังเป็นผู้สอนของนักปราชญ์ผู้มีเกียรติผู้นั้น เฮอร์เมสเป็นและยังคงเป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางใหญ่ของลัทธิลึกลับ ซึ่งรัศมีของเขาได้ช่วยส่องแสงให้กับคำสอนมากมายที่ถูกเผยแพร่มาตั้งแต่สมัยของเขา

คำสอนพื้นฐานและเบื้องต้นทั้งหมดที่ฝังอยู่ในคำสอนลึกลับของทุกเผ่าพันธุ์สามารถย้อนกลับไปหาเฮอร์เมสได้ แม้กระทั่งคำสอนที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีรากฐานมาจากคำสอนดั้งเดิมของเฮอร์เมติค

จากดินแดนแห่งคงคา ผู้ที่ศึกษาลัทธิลึกลับขั้นสูงหลายคนได้เดินทางมายังดินแดนอียิปต์ และได้นั่งเรียนรู้จากปรมาจารย์ จากท่านพวกเขาได้รับกุญแจที่อธิบายและประสานมุมมองที่แตกต่างกันของพวกเขา และด้วยเหตุนี้หลักคำสอนลับจึงได้ถูกสถาปนาอย่างมั่นคง

จากดินแดนอื่นๆ ผู้รู้ก็ได้เดินทางมาเช่นกัน ทุกคนต่างถือว่าเฮอร์เมสเป็นปรมาจารย์ของปรมาจารย์ และอิทธิพลของท่านนั้นยิ่งใหญ่มากจนแม้ว่าจะมีการเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางเดิมในช่วงหลายศตวรรษของครูในดินแดนเหล่านี้ แต่ก็ยังคงพบว่ามีความคล้ายคลึงและสอดคล้องกันในระดับพื้นฐาน ซึ่งอยู่ภายใต้ทฤษฎีที่มักจะค่อนข้างแตกต่างกันที่นักลัทธิลึกลับในดินแดนเหล่านี้ยอมรับและสอนกันในปัจจุบัน

นักศึกษาศาสนาเปรียบเทียบจะสามารถสังเกตเห็นอิทธิพลของคำสอนเฮอร์เมติคในทุกศาสนาที่มีชื่อเสียง ซึ่งปัจจุบันมนุษย์รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นศาสนาที่สูญสิ้นไปแล้วหรือศาสนาที่ยังคงมีชีวิตชีวาในยุคของเรา มีความสอดคล้องกันเสมอแม้ว่าจะมีลักษณะที่ขัดแย้งกัน และคำสอนเฮอร์เมติคทำหน้าที่เป็นผู้ประสานที่ยิ่งใหญ่

ชีวิตการทำงานของเฮอร์เมสดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่การปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความจริงที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเติบโตและเบ่งบานในรูปแบบที่แปลกประหลาดมากมาย มากกว่าที่จะก่อตั้งโรงเรียนปรัชญาที่จะครอบงำความคิดของโลก

แต่ว่ากระนั้นก็ตาม ความจริงดั้งเดิมที่เฮอร์เมสสอนได้ถูกเก็บรักษาไว้ในความบริสุทธิ์ดั้งเดิมโดยคนไม่กี่คนในแต่ละยุคสมัย ซึ่งปฏิเสธนักเรียนและผู้ติดตามที่พัฒนาครึ่งหนึ่งเป็นจำนวนมาก และยึดมั่นตามธรรมเนียมเฮอร์เมติคและสงวนความจริงไว้สำหรับผู้ที่พร้อมจะเข้าใจและเชี่ยวชาญ

จากปากถึงหู ความจริงได้ถูกส่งต่อในหมู่คนไม่กี่คนเสมอ มีผู้ได้รับการเข้าถึงในแต่ละยุคสมัยในดินแดนต่างๆ ของโลก ที่รักษาเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของคำสอนเฮอร์เมติคให้คงอยู่ และบุคคลเหล่านี้มักยินดีที่จะใช้โคมไฟของพวกเขาเพื่อจุดไฟใหม่ให้กับโคมไฟที่น้อยกว่าของโลกภายนอก เมื่อแสงแห่งความจริงเริ่มจางหาย และถูกบดบังด้วยเหตุผลของการละเลย และเมื่อไส้ตะเกียงถูกอุดตันด้วยสิ่งแปลกปลอม

มีคนไม่กี่คนที่ดูแลแท่นบูชาความจริงอย่างซื่อสัตย์เสมอ ซึ่งมีการรักษาโคมไฟแห่งปัญญาให้ส่องแสงอยู่ตลอดเวลา บุคคลเหล่านี้อุทิศชีวิตของพวกเขาเพื่อการทำงานแห่งความรักที่กวีได้กล่าวไว้ในบทกลอนของเขา:

"โอ้ อย่าให้เปลวไฟดับลง! ที่รักในยุคสมัยของมันในถ้ำมืด - ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่รัก ให้อาหารโดยผู้รับใช้ที่บริสุทธิ์ของความรัก - อย่าให้เปลวไฟดับลง!"

บุคคลเหล่านี้ไม่เคยแสวงหาการยอมรับจากสาธารณชนหรือจำนวนผู้ติดตาม พวกเขาไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขารู้ว่ามีคนจำนวนน้อยเพียงใดในแต่ละยุคสมัยที่พร้อมสำหรับความจริง หรือที่จะรู้จักความจริงหากมันถูกนำเสนอให้พวกเขา พวกเขาสงวน "เนื้อแข็งสำหรับผู้ชาย" ในขณะที่คนอื่นๆ จัดหา "น้ำนมสำหรับเด็กทารก"

พวกเขาสงวนไข่มุกแห่งปัญญาไว้สำหรับผู้ถูกเลือกไม่กี่คนที่รับรู้คุณค่าของมันและสวมมันไว้ในมงกุฎของพวกเขา แทนที่จะโยนมันให้กับหมูหยาบกระด้างที่เป็นวัตถุนิยม ซึ่งจะเหยียบย่ำมันลงในโคลนและผสมมันกับอาหารจิตที่น่าขยะแขยงของพวกเขา

แต่ถึงกระนั้น คนเหล่านี้ก็ไม่เคยลืมหรือมองข้ามคำสอนดั้งเดิมของเฮอร์เมส เกี่ยวกับการถ่ายทอดคำแห่งความจริงไปยังผู้ที่พร้อมจะรับ ซึ่งคำสอนนี้ถูกกล่าวไว้ในหนังสือ The Kybalion ว่า 

"ที่ใดที่รอยเท้าของปรมาจารย์เหยียบย่ำ หูของผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้คำสอนของเขาจะเปิดกว้าง" และอีกครั้ง "เมื่อหูของนักเรียนพร้อมที่จะฟัง ปากก็จะมามอบปัญญาให้พวกเขา" 

แต่ท่าทีตามธรรมเนียมของพวกเขายังคงสอดคล้องกับภาษิตเฮอร์เมติคอีกข้อหนึ่งใน The Kybalion เช่นกันว่า "ปากแห่งปัญญาจะปิด ยกเว้นต่อหูแห่งความเข้าใจ"

มีบางคนที่วิจารณ์ท่าทีนี้ของผู้ศึกษาคำสอนเฮอร์เมติค และกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้แสดงออกถึงจิตวิญญาณที่ถูกต้องในนโยบายของการแยกตัวและการสงวนไว้ แต่การมองย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์สักครู่จะแสดงให้เห็นถึงปัญญาของปรมาจารย์ผู้ที่รู้ถึงความโง่เขลาของการพยายามสอนให้กับโลกในสิ่งที่มันไม่ได้พร้อมหรือเต็มใจจะรับ

ผู้ศึกษาคำสอนเฮอร์เมติคไม่เคยต้องการเป็นผู้เสียสละ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขานั่งเงียบๆ ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มที่น่าเห็นใจบนริมฝีปากที่ปิดอยู่ ในขณะที่ "คนป่าเถื่อนส่งเสียงดังโหวกเหวกอยู่รอบตัวพวกเขา" ในความสนุกสนานตามปกติของการฆ่าและทรมานผู้ที่ซื่อสัตย์แต่หลงผิดซึ่งคิดว่าพวกเขาสามารถบังคับให้เผ่าพันธุ์คนเถื่อนเข้าใจความจริงที่สามารถเข้าใจได้เฉพาะโดยผู้ที่ถูกเลือกซึ่งได้ก้าวหน้าตามทาง

และจิตวิญญาณแห่งการกดขี่ข่มเหงยังไม่สูญหายไปจากแผ่นดิน ยังมีคำสอนเฮอร์เมติคบางประการที่หากถูกประกาศต่อสาธารณชน จะนำมาซึ่งเสียงโห่ร้องแห่งการดูหมิ่นและการประณามจากฝูงชน ซึ่งจะเรียกร้องอีกครั้งว่า "ตรึงกางเขน! ตรึงกางเขน!"

ในงานชิ้นเล็กๆ นี้ เราได้พยายามที่จะให้คุณได้เข้าใจถึงคำสอนพื้นฐานของ The Kybalion โดยมุ่งมั่นที่จะให้คุณได้รู้หลักการทำงาน และปล่อยให้คุณนำไปประยุกต์ใช้ด้วยตัวเอง แทนที่จะพยายามทำความเข้าใจคำสอนในรายละเอียด 

หากคุณเป็นนักเรียนที่แท้จริง คุณจะสามารถทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้ได้ หากไม่เช่นนั้น คุณต้องพัฒนาตนเองให้เป็นนักเรียนเช่นนั้น มิฉะนั้นคำสอนเฮอร์เมติคจะเป็นเพียง "คำพูด คำพูด คำพูด" สำหรับคุณ


The Three Initiates.


:) 

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

The Sola Busca Tarot

ไพ่ทาโรต์สำรับ Sola Busca เป็นหนึ่งในสำรับไพ่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะอย่างยิ่งในวงการไพ่ทาโรต์ โดยมีอายุเก่าแก่ และเป็นที่รู้จักในฐานะสำรับไพ่ทาโรต์เต็มรูปแบบ (ครบ 78 ใบ) ที่เก่าแก่ที่สุด (เก่ากว่า Tarot de Marseille แต่มีต่อการออกแบบให้รุ่นหลังไม่เท่า)


.
ไพ่สำรับนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ที่ประเทศอิตาลี
.
Sola Busca เป็นชื่อของครอบครัวอิตาลีที่เป็นเจ้าของสำรับไพ่นี้ในช่วงเวลาหนึ่ง ชื่อของสำรับนี้จึงมาจากการที่มันได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยครอบครัว Sola Busca โดยสำรับไพ่นี้ได้รับการค้นพบและศึกษาในปี 1907 ที่กรุงมิลาน ปัจจุบันสำรับนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ Biblioteca Marciana (ห้องสมุดแห่งชาติมาร์เซียนนา) ในเมืองเวนิส
.
สำรับไพ่ Sola Busca ประกอบไปด้วยไพ่ 78 ใบ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ ไพ่ Major Arcana จำนวน 22 ใบ และไพ่ Minor Arcana จำนวน 56 ใบ โครงสร้างนี้เหมือนกับสำรับไพ่ทาโรต์สมัยใหม่
.
ไพ่ Major Arcana ในสำรับ Sola Busca มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสำรับไพ่อื่น ๆ ภาพบนไพ่แต่ละใบถูกออกแบบด้วยรายละเอียดที่ลึกซึ้งและมักเกี่ยวข้องกับบุคคลในประวัติศาสตร์หรือตำนาน เช่น Nero, Vespasian และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างจากไพ่ทาโรต์สำรับอื่นที่มักใช้ภาพสัญลักษณ์แบบทั่วไป
.
ส่วนไพ่ Minor Arcana จะแบ่งออกเป็น 4 ชุดไพ่ (ดอกไพ่) ตามธรรมเนียมคือ เหรียญ (Coins), ดาบ (Swords), ถ้วย (Cups), และไม้เท้า (Wands) แต่ละชุดประกอบด้วยไพ่เลข 1 ถึง 10 และไพ่หน้า (court cards) ซึ่งรวมถึง Page, Knight, Queen และ King
----------------------------------------
“สรุปรายชื่อ Major Arcana”
.
0 Mato (The Fool) ชื่อ Mato ไม่ได้อ้างอิงถึงบุคคลเฉพาะ แต่เป็นการแทนความหมายของ "คนบ้า" หรือ "คนโง่" ซึ่งสื่อถึงการเริ่มต้นใหม่และความไร้เดียงสา
.
1 Aleph (The Magician) Aleph เป็นอักษรแรกของภาษาฮีบรู หมายถึงการเริ่มต้นและความรู้
.
2 Postumio (The High Priestess) Postumio อาจอ้างอิงถึง Lucius Postumius Albinus นักการเมืองและแม่ทัพโรมันในสมัยโบราณ ซึ่งมีบทบาทในสงคราม
.
3 Lenpio (The Empress) ชื่อ Lenpio ไม่ได้มีการระบุบุคคลที่ชัดเจน แต่เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความเป็นแม่
.
4 Castruccio (The Emperor) Castruccio Castracani เป็นผู้นำทางการทหารและนักการเมืองชาวอิตาลีในยุคกลาง มีชื่อเสียงจากความกล้าหาญและความสามารถในการนำทัพ
.
5 Nerio (The Hierophant) Nerio อาจเกี่ยวข้องกับเทพี Juno ซึ่งเป็นเทพีแห่งการแต่งงานและครอบครัวในตำนานโรมัน (เนื่องจากชื่อที่คล้ายและภาพประกอบที่ดูหวาดเสียว ทำให้หลายคนเข้าใจว่าไพ่ใบนี้หมายถึงจักรพรรดิเนโรผู้อื้อฉาว)
.
6 Catone (The Lovers) Catone น่าจะอ้างอิงถึง Cato the Younger (Marcus Porcius Cato Uticensis) นักการเมืองและนักปรัชญาโรมันที่มีชื่อเสียงในเรื่องความซื่อสัตย์และคุณธรรม
.
7 Tulio (The Chariot) Tulio อาจหมายถึง Marcus Tullius Cicero นักปรัชญาและนักการเมืองโรมันที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองและการพิจารณาคดี
.
8 Catulo (Justice) Catulo น่าจะหมายถึง Gaius Valerius Catullus กวีโรมันที่มีผลงานเกี่ยวกับความรักและความยุติธรรม
.
9 Bocho (The Hermit) Bocho ไม่ได้มีการระบุบุคคลที่ชัดเจน แต่แสดงถึงความเงียบสงบและการค้นหาปัญญาภายใน
.
10 Venturio (The Wheel of Fortune) Venturio ไม่ได้อ้างอิงถึงบุคคลเฉพาะ แต่สื่อถึงความเปลี่ยนแปลงและโชคชะตา
.
11 Cino (Strength) Cino อาจหมายถึง Cino da Pistoia กวีและนักกฎหมายชาวอิตาลีในยุคกลาง ที่มีบทบาทสำคัญในวงการกฎหมายและวรรณกรรม
.
12 Perseo (The Hanged Man) Perseus เป็นวีรบุรุษในตำนานกรีกที่รู้จักจากการปราบ Medusa และการช่วยเหลือ Andromeda
.
13 Tritemio (Death) Tritemio อาจเกี่ยวข้องกับ Johannes Trithemius นักมนุษยศาสตร์และนักบวชชาวเยอรมันในยุคเรอเนซองส์ ที่มีผลงานเกี่ยวกับเวทมนตร์และประวัติศาสตร์
.
14 Metelo (Temperance) Metellus เป็นชื่อของหลายบุคคลในประวัติศาสตร์โรมัน เช่น Quintus Caecilius Metellus Pius Scipio นักการเมืองและแม่ทัพโรมัน
.
15 Olivo (The Devil) Olivo ไม่ได้มีการระบุบุคคลที่ชัดเจน แต่สื่อถึงความล่อลวงและการยึดติด
.
16 Sabino (The Tower) Sabino อาจหมายถึงชาวซาบีน (Sabines) ชนเผ่าโบราณที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์โรมัน (ตามตำนานโรมัน มีเรื่องราวเกี่ยวกับการลักพาตัวหญิงชาวซาบีนโดยชาวโรมัน เพื่อให้เป็นภรรยาและแม่ของประชากรชาวโรมัน ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "การลักพาตัวหญิงชาวซาบีน" (The Rape of the Sabine Women) ซึ่งในที่สุดแล้วชาวซาบีนก็ถูกโรมันกลืนชาติไปไหนที่สุด)
.
17 Astaroth (The Star) Astaroth เป็นชื่อของปีศาจในตำนานและเวทมนตร์ แต่ในที่นี้อาจสื่อถึงความหวังและแรงบันดาลใจ ชื่อของ Astaroth ปรากฏใน Grimoires หลายเล่ม (เช่น "The Lesser Key of Solomon" หรือ Lemegeton) โดยมักมักถูกพรรณนาว่ามีรูปร่างเป็นเทวทูตผู้ชายที่มีปีกและมีงูพันรอบตัว หรือนั่งอยู่บนสัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนมังกรหรือหมูป่า มีสามารถในการให้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ความลับของอดีตและอนาคต และมีอำนาจในการทำให้ผู้เรียกใช้เข้าใจภาษาต่าง ๆ
.
18 Ipeo (The Moon) Ipeo ไม่ได้มีการระบุบุคคลที่ชัดเจน แต่สื่อถึงความลึกลับและความไม่แน่นอน
.
19 Foco (The Sun) Foco สื่อถึงแสงสว่างและความชัดเจน ไม่มีการระบุบุคคลเฉพาะ
.
20 Nabuchodenasor (Judgement) Nabuchodenasor หมายถึง Nebuchadnezzar II กษัตริย์บาบิโลเนียที่มีชื่อเสียงจากการพิชิตเยรูซาเลมและการสร้างสวนลอย
.
21 Panfilio (The World) Panfilio อาจหมายถึง Pamphilus นักวาดภาพในยุคโบราณที่มีผลงานในสมัยกรีกและโรมัน

:)

หมายเหตุ - จะเห็นว่าไพ่ชุด Major Arcana ทั้งหมดของสำรับนี้จะเป็นไพ่บุคคล (court cards) มากกว่าจะเป็นสิ่งหรือเรื่องราวต่างๆ ตามที่เราคุ้นเคยกันในไพ่ Tarot สมัยใหม่

มีผู้อธิบายว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จุดประสงค์การสร้างไพ่เหล่านี้ขึ้นมาในยุคแรกก็คือ การใช้เป็น “ไพ่เล่น” (Palying Cards) เพื่อการสันทนาการยามว่าง ส่วนการนำมาใช้พยากรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกประยุกต์ขึ้นมาในภายหลัง โดยจุดเริ่มต้นเป็นเพียงการเสี่ยงทายกันอย่างสนุกๆ (เช่นการ “เล่นเกมแห่งความหวัง” ของเยอรมัน)

โดยค่อยๆ ทวีความจริงจังของการพยากรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคหลังที่มีการเอาความเชื่อเรื่องลัทธิลึกลับต่างๆ ผสมเข้าไปในรายละเอียด จนเกิดเป็นไพ่พยากรณ์ขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างที่เราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ดวงชะตาชาย ทะเลาะวิวาท ถูกแทงไส้ไหล

ดวงชะตาชาย เกิดจะซวยอย่างไรไม่ทราบเพราะไปทะเลาะวิวาทกับชาวบ้านจนถูกแทงไส้ไหล แหล่งต้นทางไม่ได้แจ้งว่าตายหรือเปล่า แต่เข้าใจเอาเองว่าน่าจะรอด

เหตุเกิดในวันทินวรรษพอดี อาทิตย์จรกุมอาทิตยฺกำเนิด ขาดเกินเวลาไปเพียงเล็กน้อย

กำลังนั่งคิดเล่นๆว่าไส้นี่มันอะไรดีวะ สงสัยจะราหู(NO)กระมัง เพราะยาวๆ เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างปากกับตูด

ลองดูในดวงชะตานี้ เราจะเห็นว่า SA,AD มันถึง NO พอดีเสียด้วย เฉพาะ SA,AD รวมกันท่านแปลว่า วิบากกรรม ความอดทน ตกอยู่ในภาวะลำบาก ส่วน NO นั้นเป็นจุดเจ้าชะตาจุดหนึ่ง ในกรณีจะทะลึ่งแปลว่าไส้ก็ได้กระมัง (อันนี้ผมเพ้อไปเรื่อยนะ อย่ามาเอาอะไรมาก)

จุด MC จร (แปลว่านาทีนั้น) ถึง UR (ความตึงเครียด ความฉับพลัน) ในดวงกำเนิดพอดี

ส่วน MA และ ME จรก็ถึง VU ในดวงกำเนิด โครงสร้างนี้แปลง่ายๆว่า ด่ากันแรงๆ

ที่จริงเราจะเห็น NE จรถึง ME กำเนิดด้วย(ใกล้อาทิตย์) โดยทั่วไป ME,ME นี้มันแปลว่าพูดจาเพ้อเจ้อ ความคิดเพ้อฝัน แต่จะแปลว่าเมาก็ได้

ลองตั้งแกน MA/UR (แปลว่าทะเลาะวิวาท) ในดวงจรดู จะพบว่าถึง JU, UR, ZE, KR ดูทรงน่าจะทะเลาะกับคนมีสี หรือมีอำนาจ หรือมีอายุมากกว่า การมีของ ZE นั้นน่ากลัว ไม่ถูกยิงก็บุญแล้ว ในกรณีนี้เปลี่ยนจากลูกกระสุนเป็นมีดปลายแหลมแทน

เฉพาะ JU นั้นน่าสนใจ เพราะเคยกล่าวประจำว่า JU เป็นดาวดีแต่ถ้าอยู่ผิดที่ผิดทางก็แย่เหมือนกัน เพราะ JU แปลว่ามาก หรือสำเร็จ (หรือจะมองอีกแง่หนึ่ง ด้วยอำนาจของ JU เลยช้วยให้มีโชค ไม่ตายคาที่ก็ได้กระมัง)

ที่สำคัญคือแกนทะเลาะวิวาทอะไรนี้ ถึง SU พอดีทั้งจรทั้งกำเนิดเพราะเกิดในวันทินวรรษพอดี

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ราหูเข้าแทรก

 

ช่วงนี้เรื่องราหูย้ายนี่สงสัยจะอินเทรนด์ ไปไหนมาไหนมีแต่คนถามเรื่องราหู

วันก่อนรุ่นน้องคนนึงเล่าให้ฟังว่าหวิดๆ จะมีเรื่องตะลุมบอนกับคนจีนเจ้าถิ่นที่หน้าร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ฟังแล้วก็แปลกใจเพราะปรกติก็แลดูเป็นคนใจเย็น ก็ไม่น่าจะมีเรื่องชกต่อยกับใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับต้นเหตุจิ๊บจ๊อยประเภทเหม็นควันบุหรี่จนเขม่นกันอะไรอย่างนั้น

ฟังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงคำของคนเก่าๆ ที่เคยได้ยินตอนเด็กๆ

คือท่านว่าคนเราเวลา “ราหูเข้า” (อาจจะหมายถึงราหูเสวยอายุ ราหูย้ายราศีเข้าเรือนสำคัญ ราหูทำมุมสัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตา หรืออื่นๆ แล้วแต่บริบท) นั้น มักเกิดอารมณ์ชั่ววูบ ไม่โลภก็โกรธ ไม่โกรธก็หลง เกิดจะหน้ามืดตามัวขึ้นมา พอเป็นอย่างนี้จึงมักติดสินใจผิดพลาด อะไรไม่ควรทำก็ดันทำซะอย่างนั้น เรียกว่าอารมณ์มันก็แปรแปรวนวิกลไป

อาการอย่างนี้ท่านว่านี่แหละคนดวงตก ที่เคยใจเย็นเกิดมาไม่เคยมีเรื่องก็กลายเป็นใจ อารมณ์เสีย กลายเป็นคนขี้หงุดหงิดขึ้นมา ก็จะมีเรื่องหัวแตกเลือดสาดกันตอนนี้ ส่วนไอ้ที่เคยเป็นฉลาดคิดอะไรรอบคอบก็พาลกลายเป็นคนโง่ไป จึงมักเสียหายกับเรื่องง่ายๆ หรือเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

คนเก่าท่านก็ว่าเป็นฤิทธิ์เดชของราหูตัวมัวเมา ทำให้เหมือนมีเมฆดำเข้ามาบังฟูบังตา อะไรทำนองอย่างนั้น

คนแต่ก่อนพอเป็นอย่างนี้ส่วนมากท่านก็เรียกมารดน้ำมนต์ธรณีสารล้างซวย อย่างดีก็ไล่ไปสมาทานศีล 5 ศีล 8 ปรับจูนสภาพอารมณ์ สงบสติอารมณ์ลงบ้าง

มาสมัยนี้กลายเป็นไปไหว้ขอโน่นขอนี่พระราหูกันโครมๆ

แต่มาคิดๆดูก็สมกับเป็นเรื่องของราหูตัวมัวเมาดี

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ความเชื่อบางอย่างในหมู่นักพยากรณ์

มีเรื่องนึงอยากเขียนถึงมานานแล้ว ที่จริงก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับโหราศาสตร์โดยตรงเสียทีเดียว ดังนั้นใครไม่ชอบขอให้ข้ามๆไป

ก็คือความเชื่อบางอย่าง ที่มีกันมานานแล้วในหมู่นักพยากรณ์โดยเฉพาะคนที่ทำเป็นอาชีพ นั่นก็คือความเชื่อที่ว่า … “ถ้าไปดูดวงไขความทุกข์ให้กับคนอื่น ก็จะโดนเจ้ากรรมนายเวรของคนๆ นั้นตามมารังควานได้” 

ก็ทำนองว่าไปช่วยแก้เคราะห์กรรมให้คนอื่นเขาแล้วก็เลยทำให้เจ้ากรรมนายเวรไม่พอใจ เพราะตามทวงเวรกรรมจากตัวคู่กรรมของเขาไม่ได้ สุดท้ายก็เลยพาลมาลงกับตัวหมอดูแทนนี่แหละ สาระแนดีนัก หมอดูก็ซวยกันไป อะไรประมาณนั้น

ความเชื่ออย่างนี้ว่ากันตามตรงก็เป็นพิสูจน์ยาก แล้วแต่ใครจะเชื่อไปทางไหน มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เท่าที่สังเกตดูทั้งสองฝั่งก็มีมากพอกัน

คนที่เชื่ออย่างนี้ก็ยืนยันหนักแน่นว่าดูดวงช่วยเขาทีไรเป็นอันของเข้าตัว ลำบากตัวเองทุกที ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็ยืนยันหนักแน่นเหมือนกันว่าดูดวงมาเป็นพันดวงก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักที ชีวิตยังสุขสบายดีมีความสุขความเจริญได้ตามอัตภาพ

จะเชื่อใครดี?

ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ “จริงทั่งคู่”

หลักจิตวิทยาสำคัญข้อหนึ่งกล่าวว่า “ความเชื่อคือความจริงสำรับทุกคน” และที่สำคัญคือ “ทุกคนล้วนมีความเชื่อเป็นของตนเอง” สรุปคือใครเชื่ออย่างไรชีวิตก็ย่อมต้องไปตามนั้น และคุณกับผมไม่จำเป็นต้องเชื่อเหมือนกัน ดังนั้นความจริงสำหรับแต่ละบุคคลจึงอาจเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน

ใครเชื่อว่าซวยก็ซวยไป ใครเชื่อว่าเฮงก็เฮงนั่นแหละ

เอากันง่ายๆ อย่างนี้เลย ไม่ต้องไปเสียเวลามาโต้เถียง พิสูจน์ หรอหาข้อยุติให้ยุ่งยาก

ดังนั้นตามหลักจิตวิทยาจึงไม่สนใจว่าใครจะเชื่อแบบใหน แต่จะสนใจตรงที่ว่า “เชื่อแล้วชีวิตได้อะไร?”

เชื่อว่าดูดวงแล้วของจะเข้าเจ้ากรรมนายเวรจะตามมาทวง หรือจะเชื่อว่าการดูดวงคือการบำเพ็ญกุศลเพราะได้ช่วยเหลือคน (ถ้าไม่คิดหลอกแดกคนอื่น) ยิ่งช่วยชีวิตจึงยิ่งเจริญ

เรื่องพวกนี้ไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน เพราะใครเชื่ออย่างไรชีวิตย่อมเป็นจริงไปตามนั้น

แต่เชื่อแล้วยังไงต่อ สร้างสรรค์ต่อตนเองหรือไม่ อันนั้นแหละประเด็นที่แต่ละจะต้องถามตัวเอง


:) 


วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

เรือนชะตาอาชีพ

 ในแง่ของเรือนชะตา เรือนชะตาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน โดยทั่วไปถือว่ามีอยู่ 2 เรือน คือเรือน 6 (อริ) กับเรือน 10 (กัมมะ)


เรือน 6 เป็นเรือนแห่งความยากลำบากในชีวิต คนเราขึ้นชื่อว่าทำงานประกอบเป็นอาชีพแล้ว ล้วนเจอปัญหาเจอความยากลำบากกันทุกคน มีใครสบายบ้าง?

ส่วนเรือน 10 เป็นเรือนแห่งเกียรติ ชื่อเสียง การได้รับการยอมรับจากสังคม ก็อย่างที่เขาว่านั่นแหละ คือคุณค่าของคนอยู่ผลของงาน

ทำงานอะไร ลำบากลำบนแค่ไหนจึงอาจบอกได้ด้วยเรือน 6 แต่จะสำเร็จอย่างไรรุ่งโรจน์มากแค่ไหน(หรือด้วยอะไร)อาจต้องไปดูที่เรือน 10

บางทีอาจรวมไปถึงเรือน 2 (กดุมพะ) ด้วยเพราะเป็นเรือนแห่งรายได้ รายรับ  ทรัพย์สินซึ่งเราเป็นผู้แสวงหามาเอง เพราะคนเราสมัยนี้ทำงานก็เพื่อเงิน เราอยู่ในโลกทุนนิยมต้องใช้รายรับเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต ถ้าทำฟรีถึงจะทำแล้งรุ่งแค่ไหนคงไม่อาจเรียกว่าอาชีพได้

สรุปแล้วการทายว่าใครทำอาชีพอะไรไม่ใช่ของง่าย เพราะมีอะไรให้ต้องคอดเยอะไปหมด ยิ่งสมัยนี้อาชีพแปลกๆ เยอะก็ยิ่งทายยาก ทายเป็นแนวกว้างๆ ก็อาจพอไหวแต่ให้ทายเฉพาะเจาะจงคงลำบากเพราะบางอาชีพพูดไปจะหาคนรู้จักยังแทบจะไม่มี

ทำอาชีพอะไรจึงทายยาก แต่ควรจะไปทำอาชีพอะไรก็อาจจะทายกันง่ายกว่า

อาชีพที่กำลังทำอยู่นี้เหมาะแหล้วหรือไม่? หรือถ้าไม่พอใจจนอย่างจะเปลี่ยนก็ควรต้องเปลี่ยนไปทางไหน? ทายกันอะไรแบบนี้ดูเหมือนจะได้ประโยชน์กว่า


:) 


วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ราหูเหนือใต้

เป็นเรื่องธรรมดา หากแต่ละสำนักจะกำหนดนิยามความหมายของแต่ละปัจจัยที่แตกต่างกันออกไปบ้าง (มองกันคนล่ะจุดบ้าง) เช่นจุดราหู (North Node) นี้ สำนักยูเรเนี่ยนให้ความหมายหลักเอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้อง พันธะ หรือความรู้สึกผูกพัน ซึ่งเป็นความหมายกลายๆ ไม่ร้ายไม่ดี แต่แต่ว่าจะไปอยู่เรือนไหนหรือทำมุมสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ อะไรบ้าง

ในโหราศาสตร์ไทยนั้นโดยมากให้ความหมายของราหูไปในทางร้าย เช่นความลุ่มหลงมัวเมา โมหะจริต หรือจิตใจฝ่ายต่ำ อะไรทำนองอย่างนั้นเพราะอาจจะไปจับเทวะตำนานที่ว่าราหูเป็นอสูร โดยอาจารย์หลายท่านได้ให้ความเห็นว่าความจริงแล้ความหมายเหล่านี้ก็คือเรื่องของพันธะ หรือความรู้สึกผูกพัน เช่นกันเพียงแต่เป็นไปในลักษณะที่สุดโต่ง ไร้การควบคุม

ในวิชาโหราศาสตร์สากลบางสำนัก ให้นิยามจุดราหู (North Node) นี้ว่า “ความมุ่งมาดปรารถนาในชาตินี้” คือหมายความว่าใครเกิดแล้วใช้ชีวิตดิ้นรนเข้าไปหาสิ่งใดเรื่องอะไรก็ให้พิจารณากันที่จุดราหูนี้

เช่นราหูอยู่เรือน 2 ก็ดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ หรือถ้าราหูอยู่เรือน 3 ก็ดิ้นรนแสวงหาการพบปะ(ยอมรับ)จากผู้คนรอบตัว อะไรทำนองอย่างนี้ นอกจากนี้ก็อาจจะพิจารณาต่อไปอีกว่าแล้วจุดราหูนี้ไปทำมุมสัมพันธ์กับดาวอะไรอีกบ้าง ก็แปลความเป็นคำพยากรณ์กันไปตามเหมาะสม

เมื่อพูดถึงราหูที่หมายถึงจุด North Node แล้วก็ควรกล่าวถึงจุดตรงข้ามของมันด้วย นั่นก็คือเกตุสากล (South Node) ซึ่งมักถูกกำหนดความหมายให้เป็นเรื่องของนามธรรมหรือเรื่องในอดีต เช่นในกรณีนี้เมื่อ ราหู (North Node) หมายถึง ความมุ่งมาดปรารถนาในชาตินี้ ดังนั้นเกตุสากล (South Node) จึงถูกกำหนดให้เป็นภาวะตรงข้าม คือหมายถึงประสบการณ์จากอดีตชาติอันทำให้เจ้าชะตารู้สึกเต็มอิ่ม เฉยชา หรือปล่อยวาง ต่อเรื่องนั้นๆ

สังเกตว่า ราหู (North Node) คือเรื่องอนาคต ส่วนเกตุสากล (South Node) คืออดีต ราหูคือความปรารถนา ในขณะที่เกตุสากลคือความเต็มอิ่มเสียจนรู้สึกว่าฉันพอต่อสิ่งเหล่านี้แล้วจึงไม่ปรารถนาต่อสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เป็นภาวะซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน

จะเห็นว่าใช้คำว่า “เกตุสากล” เพราะคือคนล่ะอย่างกับเกตุไทยที่ใช้ในวิชาโหราศาสตร์ไทย(ซึ่งมีผู้รู้ท่านสันนิษฐานว่าคือดาวหาง) ดังนั้นบางแห่งจึงตัดปัญหาเรียกเป็น ราหูเหนือ-ราหูใต้ แยกออกจากเกตุโดยเด็ดขาดเพื่อไม่ให้ต้องสับสนกันอีก

:)